‘อนุชา’ สั่งจังหวัดเรียกประชุมทุกฝ่ายร่วมหาทางออกให้ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ 1 ธ.ค.นี้
หวั่นเหตุเผชิญหน้าชาวเลหลีเป๊ะ-นายทุนบานปลาย ‘อนุชา’ สั่งจังหวัดดูแล กสม.ส่งหนังสือจี้ตำรวจ ผู้ว่าฯ นายอำเภอสตูลเร่งแก้ไข ผู้ว่าฯ เรียกประชุมให้ทุกฝ่ายร่วมหาทางออก 1 ธค.
วันนี้ (30 พ.ย. 65) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความขัดแย้งและเผชิญหน้ากันระหว่างชาวเล-อูรักลาโว้ย บนเกาะหลีเป๊ะและเจ้าของธุรกิจภายหลังจากที่มีการปิดกั้นเส้นทางดั้งเดิมของชาวบ้านสู่โรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ว่าทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปดูพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงซึ่งทราบว่ากำลังมีการไกล่เกลี่ยกันอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเผชิญหน้าจะกลายเป็นความรุนแรงหรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า ไม่น่าเป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีใครทำอะไรนอกกฎหมาย ส่วนข้อเรียกร้องที่ให้มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินของเกาะหลีเป๊ะทั้งหมดนั้น เราจะดำเนินเต็มที่ ทั้งเรื่องเอกสารหลักฐานว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยหน่วยวงานที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิของที่ดิน สวนคดีความที่อยู่ในศาลก็ว่ากันไปตามกระบวนการ
นายยาลา ใบกาเด็ม นายอำเภอเมือง จังหวัดสตูล กล่าวว่าขณะนี้อำเภอส่วนหน้าที่มีปลัดอำเภอประจำได้ดูแลเหตุการณ์อยู่โดยพยายามให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมความให้ใช้ทางเดินได้ไปก่อน เพราะขณะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ และจริงๆ เด็กนักเรียนก็มีเส้นทางเดินอยู่แล้วเพียงแต่ต้องอ้อมหน่อย เพราะเป็นทางเดินที่เอกชนมีเอกสารสิทธิครอบครอง ซึ่งอำเภอไม่มีอำนาจไปสั่งการ และเรื่องนี้คาราคาซังมาหลายสมัย ซึ่งอำเภอเคยตรวจสอบแล้ว โดยเจ้าของที่ดินมีเอกสารสิทธิ ส่วนชาวบ้านอ้างเป็นทางเดินที่เคยใช้มาก่อนแต่ไม่มีเอกสาร ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในศาล ก็ต้องรอผลการวินิจฉัย
เมื่อถามว่าเป็นห่วงว่าจะเป็นเหตุบานปลายและเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ นายอำเภอกล่าวว่า “ไม่น่าจะมีความรุนแรง เพราะมีแต่ชาวบ้านและเอ็นจีโอเข้าไปเสริม”
นายยาลากล่าวว่า ในวันที่ 1 ธันวาคม ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลได้เรียกประชุมเพื่อหารือในเรื่องนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออก
เมื่อถามอีกว่า ชาวบ้านเรียกร้องให้มีการตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะทั้งหมด นายอำเภอกล่าวว่า “ตอนนี้เรื่องเกินอำนาจที่อำเภอจะไปชี้ ต้องมีคณะกรรมการร่วมหลายฝ่ายตรวจสอบร่วมกัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้ส่งหนังสือถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเมืองสตูล เพื่อขอประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า ด้วยชาวเลเกาะหลีเป๊ะร้องเรียนมายัง กสม.โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรดั้งเดิมของชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2452 จนถึงปัจจุบัน โดยเส้นทางดังกล่าวชาวบ้านใช้เดินไปโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสุสาน รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรของนักท่องเที่ยว จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ
“เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และป้องกันเหตุความรุนแรงที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงขอส่งเรื่องมายังจังหวัดสตูล เพื่อพิจารณาดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจ และขอให้แจ้งความคืบหน้าหรือผลการดำเนินการภายใน 15 วัน” หนังสือดังกล่าว ระบุ
นายชารีฟ หาญทะเล ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ กล่าวว่าในช่วงเช้าวันเดียวกันนายทุนพากลุ่มวัยรุ่นราว 5-6 คนเข้ามาในพื้นที่ซึ่งชาวบ้านยังคงเฝ้าสถานการณ์อยู่ แต่ตลอดทั้งวันไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานราชการมาดูพื้นที่เลย รวมทั้งตำรวจก็ไม่มา ซึ่งชาวบ้านยังหวังให้ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในหน่วยงานรัฐมาเจรจา
“ตอนนี้ทุกคนยังเครียดเพราะไม่รู้ว่านายทุนจะมารูปแบบไหน แต่ชาวบ้านไม่ยอมให้มีการก่อสร้างรั้วปิดถนนต่อ แม้เราหวั่นเกรงว่าจะมีการใช้ความรุน แต่ไม่มีทางเลือก ที่แน่ๆ หากเกิดความรุนแรงคงไม่ได้เกิดจากชาวบ้านเป็นผู้เริ่ม เพราะเราต้องการเพียงต้องการเรียกร้องสิทธิในการสัญจรบนถนนสาธารณะที่ใช้กันมาตั้งแต้บรรพบุรุษ เราอยากให้คืนถนนกลับมาเหมือนเดิม” นายชารีฟ กล่าว