รอง ผบ.ตร. เรียกประชุม คณะกรรมการสอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมพวก ยืนยัน ไม่มีใครมาชี้นำได้
วันนี้ (29 เม.ย. 67) เวลา 10:00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. พร้อมพวกรวม 5 คน ทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อน โดยการประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก หลังจากที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผบ.ตร.เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้
พล.ต.อ. สราวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการประชุมเพื่อวางกรอบ และแนวทางในการสอบสวน โดยได้มอบหลักการ และแนวทางปฎิบัติ ซึ่งยึด 2 ข้อหลักคือ ระเบียบ และกฎหมาย รวมถึงให้ความเป็นธรรมผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งจะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ภายใน 15 วัน และจะมีการทำหนังสือแจ้งผู้ถูกกล่าวหา ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามที่เคยถูกแจ้งข้อกล่าวหากับคณะกรรมการฯ ภายในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ จากนั้น คณะกรรมการฯ จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมด ภายใน 60 วัน หลังจากแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งกรอบระยะเวลาทั้งหมด รวมการขอขยายเวลาอยู่ที่ 270 วัน หรือประมาณ 8 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการการสอบสวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมพวก กรณีผิดวินัยร้ายแรง จะแล้วเสร็จทันก่อนที่ พล.ต.อ.สราวุฒิ จะเกษียณในเดือนกันยายนปีนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ ระบุว่า จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง โดยเราพยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบทั้งหมด และจะทำหนังสือถึงคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่สอบเรื่องนี้ เช่น เอกสารทางคดีอาญา และผลการสอบสวนจากชุดคณะกรรมการต่างๆ มาประกอบการสอบสวน และจะดำเนินการสอบสวนกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ส่วนหนังสือของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ส่งถึงคณะกรรมการฯ ชุดนี้นั้น พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า เรื่องของการตรวจสอบคณะกรรมการไม่ได้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ที่สั่งแต่งตั้ง หรือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. โดยการคัดค้านจะต้องไปดูกฎของ ก.ตร. ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติ ว่าเข้าองค์ประกอบที่จะเปลี่ยนตัวหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกับหนึ่งในคณะกรรมการฯ ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำหนังสือคัดค้านถึงความไม่เป็นกลางหรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า ได้มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้สามารถคัดค้านได้ แต่จะต้องไปดูว่าอยู่ในกรอบของการคัดค้านหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถทำได้ แต่ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของรักษาราชการแทน ผบ.ตร. หากมองว่าไม่กระทบ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ไม่เคยเรียกสอบเลยนั้น พล.ต.อ.สราวุฒิ ชี้แจงว่า คดีนี้มีทั้งทางโทษวินัย และอาญา ซึ่งตนมีหน้าที่ในการสอบสวนทางวินัย ถือว่าคณะของตนเองต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือเริ่มทำการสอบสวนใหม่ทั้งหมด ที่จะต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐาน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงจำเป็นต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุดก่อนจะนำไปวินิจฉัยว่าถูกหรือผิด
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สราวุฒิ ยืนยันว่า ตนเอง และคณะกรรมการฯ ไม่มีความหนักใจในการสอบสวนเรื่องนี้ เพราะเราทำภายใต้กรอบระเบียบของกฎหมาย ส่วนจะแล้วเสร็จเร็วหรือช้า ไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ผูัสื่อข่าวจึงพูดจึงถามย้ำว่า แสดงว่าจะไม่แล้วเสร็จทันก่อนท่านเกษียณหรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ ตอบว่า “ใช่”
สำหรับในวันพรุ่งนี้ที่มีการประชุม ก.ตร. โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมนั้น พล.ต.อ.สราวุฒิ คาดว่าจะไม่มีการหยิบประเด็นนี้ไปพูดคุยในที่ประชุม ซึ่งจะต้องไปดูในกฎระเบียบของ ก.ตร. ว่า วิธีการปฏิบัติการรายงานเป็นอย่างไร ส่วนการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้ไม่แล้วเสร็จทันก่อนที่ตนเองจะเกษียณ ก็เป็นหน้าที่ของประธานคณะกรรมการฯ คนต่อไป ซึ่งใครที่มารับช่วงต่อ ก็เชื่อว่าจะสามารถทำงานได้อย่างสบายใจ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หากการสอบยังไม่แล้วเสร็จ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะยังเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ได้อยู่หรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ ระบุว่า เป็นคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวโดนออกจากราชการไว้ก่อน และการสอบวินัยยังไม่แล้วเสร็จ ตราบใดที่คำสั่ง และผลการสอบสวนยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ส่วนตอนนี้จะยังเป็น รอง ผบ.ตร. ที่ยังเป็นแคนดิเดตอยู่ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวว่า การออกราชการของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หากผลออกสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าไม่มีสิทธิ์เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ออกมาบอกว่ามั่นใจกับการทำงานของชุดสอบสวนของ พล.ต.อ.สราวุฒิ นั้น ยืนยันว่า เราเป็นพี่เป็นน้องกัน เรียนตามกันมา เพราะตนรุ่น 40 ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รุ่นที่ 47 และเคยร่วมทำงานกันมา ก็รู้นิสัยใจคอกันดี ว่าจิตใจเป็นอย่างไร และรับราชการมาอย่างไร ตนเองเติบโตมาจากงานสันติบาล เพราะฉะนั้นเขาคงเชื่อมั่นในตัวของตน และสามารถตรวจสอบประวัติการทำงานของตนได้ถึงความเป็นธรรม พร้อมย้ำว่า ไม่หนักใจ ใครจะคิดว่าโยนเผือกร้อนให้ แต่ตนรู้สึกเฉยๆ
ส่วนประเด็นที่จะถูกมองว่าเป็นสงครามตัวแทนและถูกพุ่งเป้ามาที่ พล.ต.อ.สราวุฒินั้น ยืนยันว่า ไม่กลัว ตนมีหน้าที่แค่หาข้อเท็จจริงมาประกอบการพิจารณาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกหรือผิด ซึ่งยืนยันว่าการสอบสวนคดีนี้ ไม่มีใครสามารถมาชี้นำคณะของตนเองได้ ซึ่งการที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เลือกให้ตนมาเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ มองว่า ท่านคงเห็นว่าตนเป็นคนกลาง มีนิสัย และอุดมการณ์จึงเลือกตน ซึ่งยอมรับว่าตอนแรกตกใจที่ทราบเรื่อง เพราะตนเองใกล้จะเกษียณแล้ว แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ก็เชื่อว่าอาจจะมีความจำเป็นจริงๆ
“ผมยืนยันและประกาศว่า ไม่มีใครมาชี้นำผมได้” พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าว