‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ขอเวลาทีมเจรจาหาข้อยุติ ‘ประธานสภา’ เชื่อจบก่อนรัฐพิธี 3 ก.ค.
‘ปดิพัทธ์’ ชี้ ปมตำแหน่งประธานสภา เป็นหน้าที่ทีมเจรจาหาข้อยุติ ขอเวลาก่อน ยังไว้ใจในทีมเจรจา เชื่อจบก่อนรัฐพิธี 3 ก.ค. พร้อมลาออก กก.บห. ไม่เข้าประชุม ส.ส. รักษาความเป็นกลาง มั่นใจ ก้าวไกล-เพื่อไทย มีเป้าหมายใหญ่ร่วมกันมากกว่าจะแตกกัน
วันนี้ (28 มิ.ย. 66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตตำแหน่งประธานสภาฯของพรรค บอกถึงการที่พรรคก้าวไกลเลื่อนหารือกับพรรคเพื่อไทยในตำแหน่งประธานสภาวันนี้ ว่า เป็นการเลื่อนของคณะเจรจา ดังนั้นไทม์ไลน์ 28-29 มิ.ย.ที่จะมีความชัดเจนขึ้นเรื่องตำแหน่งประธานสภาก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน และจะต้องให้ความไว้วางใจเพราะคณะเจรจาได้รับผลตอบรับจาก ทั้ง ส.ส.ของแต่ละพรรคและสังคมไปแล้ว ก็ให้เขาได้เดินหน้าเจรจากัน
ส่วนกรณีที่ถูกมองว่า เป็นเกมส์ต่อรองของพรรคก้าวไกลหลังจากนี้จะจบอย่างไร ระบุว่า ตอนนี้การเจรจา ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่มีการโหวตประธานสภาฯ การเจรจาก็ยังคงเดินต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ด้วยเงื่อนเวลาบีบว่าจะต้องการความชัดเจนแล้ว ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องตอบภายใน 1-2 วันนี้ โดยจะต้องให้เวลากับคณะทำงานให้ได้มากที่สุด แล้วแต่ละฝั่งก็ไม่ได้หยุดเตรียมการ หากเปิดสภาแล้วและหากพรรคก้าวไกลได้รับตำแหน่งเป็นประธานสภา ก็จะต้องเตรียมภารกิจที่จะทำไว้ให้พร้อม
ทั้งนี้แนวโน้ม ก้าวไกลจะถอยหรือไม่ เป็นหน้าที่ของทีมเจรจา ส่วนที่นักวิชาการต้องการให้ถอยคนละก้าวระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลนั้น มองว่า ตนมีหน้าที่เตรียมงานสภา จึงต้องเตรียมงานสภาให้มีความพร้อม ส่วนทีมเจรจาจะไปรับฟังกลุ่มต่างๆ และมีหน้าที่ในการไปเจรจา ดังนั้นจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของทีมเจรจา
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทันกรอบระยะเวลาในการทำรัฐพิธี 3 ก.ค. นี้หรือไม่ นายปดิพัทธ์ ตอบว่า ทันแน่นอน เพราะก่อนที่จะลงทุนสร้างบ้าน ก็จะต้องทะเลาะกันเรื่องพิมพ์เขียวให้เรียบร้อยก่อน ถ้ายังออกแบบแล้วยังไม่พอใจกันก็ยังไม่ต้องสร้าง แต่สุดท้ายแล้วมันก็มีวันสร้างก็คือวันที่เราเริ่มต้นรัฐพิธี
ส่วนสองพรรคจะหาข้อตกลงกันได้อยู่หรือไม่นั้น แนวโน้มจากเสียงโหวตที่ประชาชนมอบให้ ยังไงสองพรรคก็ต้องตกลงกันได้อยู่แล้ว เพราะจุดยืนของพรรคก้าวไกลมีความตั้งใจว่า ถ้าเราสามารถยึดหลักการไม่ได้คือพรรคอันดับหนึ่งจะได้ความชอบธรรมในการเป็นประธานสภา เหมือนกับที่พรรคอันดับหนึ่งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจึงเดินหน้าตามหลักการนี้ก่อน และต้องมีคำตอบให้สังคมว่าทำไมเราถึงพร้อมทั้งเรื่องของวิสัยทัศน์และนโยบาย ซึ่งพรรคได้เตรียมแบบที่ควรจะเป็นในทิศทางของพรรคไว้ก่อนส่วนแผนอื่นจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า ปัญหาเรื่องตำแหน่งประธานสภาจะไม่ทำให้พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยแตกกันใช่หรือไม่ ตอบว่า ในฝั่งของก้าวไกลคิดว่าเรื่องนี้เป้าหมายของพรรคใหญ่มากในการจัดตั้งรัฐบาล ที่เป็นความหวังของประชาชน ตนคิดว่าคงไม่ให้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งมาทำให้เป้าหมายที่เสียไป
ส่วนบทบาทความไม่เชื่อมั่นเพราะอยากได้ประธานที่น่าเชื่อถือมีประสบการณ์ มีความเหมาะสม มองเรื่องนี้อย่างไร หากก้าวไกลเข้าไปแล้วจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น นายปดิพัทธ์ มองว่า เป็นสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ และข้อเสนอ ซึ่งข้อเสนอเรื่องประสบการณ์ได้รับผลตอบรับมาตั้งแต่สมัยที่แล้ว จึงต้องแลกด้วยการทำงานหนักและการค้นคว้าข้อมูลและถามผู้รู้ในประสบการณ์ต่างๆ
“…ผมไม่สามารถบอกได้ว่าผมจะเป็นประธานที่ดีที่สุดให้ทุกคนไว้ใจได้อย่างไร แต่ผมได้นำเสนอแล้วว่าเรามีความพร้อมแและเราพร้อมที่จะทำงานหนักร่วมกับทุกฝ่าย จึงเป็นเรื่องที่ทีมเจรจาจะไปพิจารณากัน…”
ทั้งนี้อยากจะบอกกับผู้ที่จะโหวตให้เราในการเป็นประธานสภาอย่างไรบ้างเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการทำหน้าที่ของตนเอง นายปดิพัทธ์ ระบุว่า ตามข้อบังคับในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ก่อนจะมีการโหวตประธานสภา จะต้องมีการแสดงวิสัยทัศน์ก่อน ตนคิดว่าเวทีในการแสดงวิสัยทัศน์ในวันที่ 4 ก.ค. จะเป็นเวทีที่ตนสามารถให้ความมั่นใจกับสมาชิกสภาได้ แต่ทั้งหมดจะต้องจบที่ทีมเจรจาก่อน
“…ดังนั้นความไว้ใจของตนตอนนี้ ไม่ใช่จะไว้ใจใคร แต่ไว้ใจทีมเจรจาก่อน เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะของทั้งสองพรรคได้คุยกัน…” ปดิพัทธ์ กล่าว
ส่วนกระบวนการที่เสนอชื่อมาเป็นตนเองนั้นได้รับความไว้วางใจจาก ส.ส. 151 คนในพรรคหรือไม่ ในพรรคจะแบ่งเป็นสามปีก คือ ปีกทีมเจรจา ปีกฟอร์มครม. และปีกฟอร์มทีมสภา แต่ละปีกมีอิสระต่อกันไม่ได้มีการมานั่งดูว่าใครเป็นของใคร แต่อาจจะมีการพูดคุยเรื่องตัวละคร ว่าจะโยกจากคนนี้ไปเป็นคนนี้ได้หรือไม่ ซึ่งในทีมสภาเราได้ออกแบบร่วมกัน ว่านโยบายควรเป็นอย่างไร มีอะไรที่ควรปรับในกระบวนการนิติบัญญัติบ้าง แล้วจะยกระดับการทำงานในสภาอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นคนในทีมที่ทำงานร่วมกัน และไปรับฟังความคิดเห็นจากคนหลากหลายกลุ่มว่าอยากเห็นสภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ส่วนชื่อของตนเองถูกพิจารณาโดยกรรมการบริหารพรรค มีการนำเสนอชื่อผ่านกรรมการบริหารและประกาศให้ที่ประชุมส.ส.ได้รับทราบ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเพื่อไทยไม่ถอย ก้าวไกลไม่ถอย จะทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งเป็นฝ่ายค้านหรือไม่นั้น นายปดิพัทธ์ เชื่อว่า การเจรจาจะจบลงด้วยดี ตราบใดที่ยังไม่ถึงวันนั้น ก็ให้เวลาหน่อย ทุกคนก็อยู่ในความกดดัน ประชาชนก็คาดหวังเยอะ ถ้าเราไม่ไว้ใจกันคิดเล็กคิดน้อย คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนี้พูดอย่างนี้ทีมทำงานก็ทำงานไม่ได้ ก็ขอให้ทีมเจรจาทำงานให้เต็มที่ให้ได้ และยืนยันว่า ยังไว้ใจกันอยู่แน่นอน
ทั้งนี้ หากนายปดิพัทธ์ได้นั่งประธานสภา จะมั่นใจหรือไม่ว่าสามารถเอาอยู่ในปัญหาความวุ่นวายของการทำงานต่างๆที่จะเกิดขึ้นภายในสภา นายปดิพัทธ์ มองว่าทุกคนมีวุฒิภาวะ และเชื่อมั่นว่าไม่ต้องมาเคารพที่ตัวของตนเอง และมาฟังตอนเบรก แต่ทุกคนต้องเชื่อในข้อบังคับที่เป็นกฎหมายของการประชุม และเคารพรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจทุกคนอยู่ในกติกานี้ได้ แล้วตนคิดว่าคงไม่ได้ไปตั้งหน้าตั้งตาปิดไมค์ใครด้วย เพราะทุกคนมีเอกสิทธิ์ในการอภิปราย ตราบใดที่อยู่ในข้อบังคับ จึงคิดว่ากติกานี้จะทำให้เราเอาอยู่ไม่ใช่ตัวบุคคล
พร้อมยืนยันว่า ยังคงเปิดกว้างในการเสนอกฎหมายไม่ใช่แค่ผลักดันในกฎหมายของก้าวไกลอย่างเดียวแต่หากได้ตำแหน่งประธานสภา ตนก็จะลาออกจากกรรมการบริหารพรรค และไม่เข้าประชุมส.ส. เพื่อรักษาความเป็นกลาง และเปิดโอกาสให้การเสนอกฎหมายฝั่งทั้งจากของ ครม. ของส.ส. และประชาชน 10,000 คนที่เข้าชื่อกัน ก็จะได้รับการพิจารณาอย่างมีสัดส่วนและเท่าเทียม