‘ชัชชาติ’ เผยวางตัวทีมบริหารครบแล้ว 3 กลุ่ม
‘ชัชชาติ’ ชวน จักกพันธุ์-ภิมุข ทดลองลงพื้นที่ ชวนเอกชนนำที่ดินรกร้างให้ กทม.พัฒนาเป็นสวน เผยวางตัวทีมบริหารด้วยตัวเองครบแล้ว 3 กลุ่ม ด้าน ‘จักกพันธุ์’ เปรยพร้อมรับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ‘ภิมุข’ บอกแค่อยากช่วยว่าที่ผู้ว่าฯ ไม่หวังตำแหน่งใด
วันนี้ (27 พ.ค. 65) เวลา 10:00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ลงพื้นที่พูดคุยกับเจ้าของที่ดินเอกชนที่ต้องการยกให้เป็นสวนสาธารณะแก่ กทม. บนถนนวงศ์สว่าง แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ พร้อมกับนายจักกพันธุ์ ผิวงาม อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ในสมัย พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง และนายภิมุข สิมะโรจน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า
นายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ที่มาเป็นพื้นที่เอกชน อยู่กลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้าวงศ์สว่าง ซึ่งมีข้อมูลว่า ทางเอกชนเคยติดต่อให้ กทม.ใช้งานตั้งแต่ปี 2562
แล้วแต่ยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ จึงตั้งใจมาสำรวจ ฉะนั้นต่อจากนี้ถ้ามีเอกชนรายไหนที่มีพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และต้องการให้ กทม. ได้พัฒนาที่ดินมาทำสวนสาธารณะ ก็สามารถติดต่อกับสำนักงานเขตในพื้นที่ได้ นี่จะเป็นการช่วยกันของหลายฝ่ายให้ได้พื้นที่สีเขียวโดยที่ กทม. ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก
นายชัชชาติกล่าวว่า โครงการนี้อาจต้องใช้ระยะเวลา 5-10 ปีต่อเนื่อง เพื่อจะได้ดูแลต้นไม้ได้เต็มที ปรับปรุงพื้นที่ได้สมบูรณ์ คิดว่าวิธีนี้เป็นการแบ่งปันอย่างหนึ่งที่จะทำให้เมืองมีความน่าอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะลำพังแล้ว กทม. ไม่ได้มีงบประมาณมากมายที่จะซื้อที่ดินในการทำสวนสาธารณะกลางเมือง จากนี้ยังเชื่อว่ามีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้นำที่ดินไปทำอะไรเพราะฉะนั้นแล้ววิธีนี้อาจจะดีกว่าการนำที่ดินเอาไปปลูกกล้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าการนำที่ดินมามอบให้ กทม. ทำสวนสาธารณะอาจจะไม่ได้ช่วยลดภาษีมากแต่ก็ขอเป็นทางเลือกแรงจูงใจเล็กๆ ให้นำที่ดินให้กทม ระยะแรกในการปรับปรุงพื้นที่อาจจะไม่ได้นาน เน้นการปรับให้มีทางเดิน มีแสงสว่างเรื่องนี้ไม่น่าจะยากเกินไป ไม่ต้องทำให้หรูหรามากเพียงแต่ทำให้คนสามารถใช้งานได้
ส่วนประเด็นที่มีการนำวัวเข้ามาเลี้ยง ปลูกกล้วยในพื้นที่ นายชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะหลายที่มีการปรับใช้งานที่ดินของตน เพื่อสอดคล้องกันกับประกาศของกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ที่มีการระบุว่าภาษีที่ดินสำหรับพื้นที่ทำเกษตรกรรมจะอยู่ในอัตราที่ต่ำ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุว่าต้องปลูกอะไรปลูกจำนวนเท่าไหร่เป็นขั้นต่ำ เรื่องนี้ กทม. มีอำนาจประเมินภาษีแต่ก็ต้องประเมินตามอำนาจตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น
โดยกฎหมายระบุไว้ให้ท้องถิ่นหรือ กทม. สามารถระบุอัตราภาษีเองได้แต่ไม่ให้เกินอัตราสูงสุดที่ทางกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรฯ กำหนดไว้ นายชัชชาติ จึงเห็นว่าหากทาง กทม. เล็งเห็นแล้วว่าพื้นที่ไหนที่ไม่เหมาะกับการทำเกษตร ใช้ปลูกกล้วย กทม. อาจใช้อำนาจตรงนี้ปรับให้สูงกว่าที่กระทรวงการคลังกำหนดได้ อนาคตอาจต้องให้ทีมกฎหมายช่วยดูเพื่อปรับเปลี่ยนให้สมเหตุสมผล ส่วนตัวจึงมองว่ามาตรการภาษีอาจจะเป็นอีกแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้คนนำที่ดินมามอบให้ กทม. ทำสวนสาธารณะเพิ่ม
นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า บางอย่างเอกชนอาจจะต้องช่วยลงทุนด้วยเพราะถ้าหมดสัญญาที่ให้กทม.ทำสวนสาธารณะแล้วต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างก็จะตกเป็นของเอกชน เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกครั้งหนึ่งโดยจะต้องให้เกิดประโยชน์และยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นการย้ายศาลาว่าการกรุงเทพมหานครให้ไปอยู่ที่เขตดินแดงเป็นที่เดียว นายชัชชาติ ระบุว่า อาจจะไม่ได้ทำเสร็จสิ้นภายในเดือนหรือสองเดือนเพราะมีสำนักงานเก่าค้างอยู่ แต่ต้องมีการดูพื้นที่จริงจัง นายชัชชาติ ชี้แจงว่า จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อผลักดันการย้าย แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะได้เกิดการรวมศูนย์ เพราะแต่ละพื้นที่มีค่าในอนาคตอาจจะทำเป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ได้
“ทุกอย่างไม่ได้ย้ายได้ภายในพริบตาแต่ก็ต้องมีก้าวแรก อาจจะต้องใช้เวลาสองถึงสามปี เตรียมโครงสร้างเตรียมพื้นที่ แต่ถ้าไม่เริ่มนับหนึ่งไม่มีนโยบายสุดท้ายก็จะไม่มีคนทำ”
สำหรับปัญหา ข้อร้องเรียนของกลุ่มเจ้าหน้าที่สังกัดกทม. นายชัชชาติ ยอมรับว่า ได้รับจดหมายมาบ้างแล้ว ปัญหาที่ชัดเจนจะมีเรื่องของสวัสดิการที่น้อย การเบิกจ่ายเงินล่วงหน้ากรณีรักษาคนในครอบครัว การทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวมานานแต่ไม่ได้รับการบรรจุ หรือแม้แต่เรื่องกระบวนการแต่งตั้งที่ไม่ยุติธรรม ชัชชาติกล่าวว่าต้องเข้าไปสร้างขวัญกำลังใจกลุ่มคนเหล่านี้เพราะถ้าไม่มีคนช่วยทำความสะอาด กทม. เมืองก็จะสกปรกไปกว่านี้
ผู้สื่อข่าวจึงถามนายชัชชาติว่า วันนี้ที่ชวนนายจักกพันธุ์และนายภิมุขมาด้วยนั้น ถือเป็นการเปิดตัวรองผู้ว่าฯ กทม. เลยหรือไม่ นายชัชชาติ ตอบว่า ทั้งสองท่านก็มาช่วยทำงานอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่งไหนให้รอประกาศอีกครั้ง วันนี้ให้มาทดลองงานก่อนว่าทำงานดีหรือไม่ ซึ่งได้พูดคุยทั้งหมดแล้ว และมีรายชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งครบทั้งหมดแล้ว
นายชัชชาติ ชี้แจงคณะบุคคลที่สรรหามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ามีการจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ รองผู้ว่าฯ และเลขานุการมีจำนวน 5 ท่าน กลุ่มที่ปรึกษาการเมืองจำนวน 9 ท่าน กลุ่มที่สามคือ กลุ่มที่ปรึกษาทางวิชาการไม่เกี่ยวกับการเมือง กลุ่มนี้มีจำนวนมาก เป็นที่ปรึกษาเฉพาะทาง เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ซึ่งคนเหล่านี้ช่วงหาเสียงมาช่วยงานไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง แต่หลังได้ตำแหน่งแล้ว กลุ่มนี้จะเปิดตัวได้ชัดเจนขึ้น ซี่งต้องรอการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
นายชัชชาติ ชี้แจงเหตุผลที่ชวนทั้ง 2 ท่าน มาร่วมทดลองงานในวันนี้ว่า เงื่อนไขเดียวที่เลือกนายจักกพันธุ์ เพราะเมื่อตื่นตี 4 ก็คุยงานกับท่านได้ ท่านตื่นตี 4 เหมือนกัน สบาย และส่วนมากก็คุยเรื่องงาน กฎหมาย หากติดขัดอะไรท่านหาข้อมูลประสานให้ได้หมด และนายจักกพันธุ์เป็นคนขยัน ใจบุญ ซื่อสัตย์สุจริต และได้รับการรับรองจากข้าราชการกทม.
ส่วนคุณภิมุข ก็ทำงานด้วยกันมานาน เป็นนักธุรกิจ ทำการเมืองได้ บุคลิกดี ลุยด้วยกันได้ และเคยทำการเมืองเข้าใจประชาชนได้ ครบในทุกมิติ ส่วนจะตำแหน่งเลขาฯ หรือไม่ เดี๋ยวว่ากันอีกที
นายชัชชาติ กล่าวว่า ทุกคนที่มาช่วยไม่มีใครอยากได้ตำแหน่ง จากคนที่มาช่วยเป็น 100 คนก็จะดูว่าคนไหนเหมาะกับงานอะไร ซึ่งนี่เป็นข้อดีของการเป็นอิสระ เพราะอิสระทุกตำแหน่งผมเป็นคนเลือกด้วยมือตัวเอง ไม่ต้องมีคนมาสั่ง นี่คือทำให้เราสบายใจ และคนทำงานก็สบายใจ และมองว่านี่คือพลังของความเป็นอิสระ เพราะสามารถเลือกคนที่เราเห็นได้และทำให้เรามั่นใจ ซึ่งผมไม่สามารถดีกว่าทีมงานได้ และทีมงานเราก็คัดเลือกมาอย่างดี ส่วนแนวร่วมก็มีผู้หญิงแน่นอน และมีผู้พิการด้วย
ขณะที่ นายจักกพันธุ์ ยืนยันว่าพร้อมรับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ หาก กกต.รับรอง และเหตุผลที่ตัดสินใจมาร่วมงานกับนายชัชชาติ เพราะ กทม. ต้องพัฒนาอีกเยอะ และที่ผ่านมาปัญหาเรื่องการเมืองค่อนข้างเยอะ ตอนที่ตัดสินใจเข้าร่วมกับนายชัชชาติ ก็เพราะความเป็นอิสระ ซึ่งมองว่า หากการบริหารงานมีความเป็นอิสระ ก็จะทำให้ กทม. เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย และนายชัชชาติเป็นคนเก่งเป็นคนดี และมีความรู้ความสามารถช่วยพัฒนา กทม. ได้
ด้านนายภิมุข กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาร่วมงาน กับนายชัชชาติ เพราะชอบงานการเมืองอยู่แล้ว แต่ช่วงที่เว้นวรรคไปเพราะเห็นบรรยากาศมันขัดแย้ง และส่วนตัวชอบงาน กทม. เป็นหลัก พอเห็นนายชัชชาติมาตั้งทีม ทำงาน กทม. แบบอิสระ ก็น่าจะมาช่วยได้ เลยอาสาตัวเข้ามา และยืนยันว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องตำแหน่ง แค่อยากมาช่วยงานจริง ๆ