ก.คลัง เผย เช้านี้โอนเงินสำเร็จ 3,167,565 ราย
พบ ผู้พิการกว่า 9 หมื่นคน ยังโอนไม่ผ่าน ขอ ให้เร่งแก้ไขก่อน 22 ธ.ค. นี้
วันนี้ (25 ก.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวหลังเปิดตัว (Kick Off) การโอนเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ
นายพิชัย กล่าวว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็นของประเทศในระยะนี้ เพราะประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาอย่างยาวนาน แม้แต่จะเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านก็ยังตกต่ำกว่าทั้งจากสถานการณ์ภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างรายได้ จนทำให้เม็ดเงินหายโดยเฉพาะคนกลุ่มล่าง กลุ่มใช้แรงงานและกลุ่มที่ไม่มีโอกาสในการเข้าถึง รัฐจึงเห็นความจำเป็นว่านอกจากจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตแข่งขันกับโลกได้ ยังต้องเร่งเยียวยาและดูแลประชาชน โดยแยกตามกลุ่ม เพื่อดูว่าจะดูแลอย่างไร โดยการกระตุ้นเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นเม็ดเงินจำนวนนี้เป็นการ เติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนรอคอย ก็หนีมานาน ซึ่งเม็ดเงินจำนวน 145,000 ล้านบาทใหญ่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้
นายจุลพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยอดเงินทั้งหมดที่จะโอนให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการในวันนี้ จำนวน 3,167,565 ราย เริ่มโอนตอนเที่ยงคืนสำเร็จทั้งหมดตอน 7 โมงเช้าวันนี้ และวันนี้นอกจากการโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังมีการโอนเงินเดือนข้าราชการด้วย ทำให้ระบบอาจจะช้านิดหนึ่ง แต่กระบวนการทั้งหมดเป็นไปด้วยความราบรื่น ส่วนกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์เราได้แจ้งไปแล้ว เช่น แอปพลิเคชั่นรัฐจ่าย ของกรมบัญชีกลาง สามารถตรวจสอบสวัสดิการได้หลายประเภท ทั้งคนพิการและกลุ่มบัตรสวัสดิการ แต่หากคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบต่อไป
ส่วนที่ยังมีกลุ่มสวัสดิการที่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ก็ขอให้เร่งไปดำเนินการผ่านทางธนาคารที่มีบัญชี ส่วนในกลุ่มผู้พิการยังมีอีกราว 90,000 คน ยังมีสถานะที่ต้องแก้ไข เช่น บัตรผู้พิการหมดอายุ บัตรผิดพลาด และยังไม่ได้เชื่อมช่องทางในการจ่ายเงิน ซึ่งต้องเร่งประสานทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เร่งแก้ไขให้เรียบร้อย เพราะเราจะมีการโอนซ้ำอีกสามครั้ง คือวันที่ 22 ตุลาคม, 22 พฤศจิกายน และ 22 ธันวาคมเป็นครั้งสุดท้าย หากดำเนินการแก้ไขไม่ทันวันที่ 22 ธันวาคมก็ถือว่าสละสิทธิ์ ส่วนคนพิการที่ไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองได้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่อยู่แล้ว เพื่อดูว่ามีคนตกหล่นหรือไม่แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นยืนยันว่าไม่มีคนตกหล่น
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า วันนี้จะเห็นถึงความคึกคักที่เกิดขึ้นกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในตลาด และหน้าตู้ ATM ซึ่งบางคนไปกดเงินจากตู้ ATM ได้รับเงิน 10,000 บาทแต่ในบัญชีมีเงินอยู่ 10,010 บาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางมากจริง ๆ ไม่มีเงินเก็บเลย ดังนั้น เงินที่โอนเข้าสู่บัญชีในวันนี้เป็นไปได้สูงว่าจะถูกนำไปใช้ทั้งหมด ซึ่งจากการสำรวจพบว่าจะมีการดำเนินไปใช้กับปัจจัย 4 ทั้งอาหารเพื่อนนุ่งห่ม รวมถึงเครื่องมือสำหรับคนพิการ นอกจากนี้ยังมีรวมเงินของคนในครอบครัวเพื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าคงทน
นายเผ่าภูมิ ย้ำว่า ส่วนใหญ่นำไปใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยแรกที่ประชาชนจะใช้ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบางจริง ๆ แม้กระทั่งเงินในการดำรงชีพในแต่ละวันยังไม่พอ จึงต้องนำเงินไปใช้ สำหรับการดำรงชีวิตปัจจัย 4 เป็นเรื่องแรก
นายจุลพันธ์ กล่าวถึงการดูแลเรื่องเจ้าหนี้นอกระบบและมาเฟีย ว่า การแก้ไขหนี้นอกระบบทางกระทรวงมหาดไทยเป็นแม่งานร่วมกับกระทรวงการคลัง เราเดินหน้าตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ได้หยุดดำเนินการ และความคืบหน้าการทำงานเรื่องนี้ยังคงเข้มข้น เรายืนยันว่าการปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนดเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสนใจ ขณะนี้เงินเข้าถึงมือประชาชนกลุ่มเปราะบางขอโอกาสให้เขาได้ใช้ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิต ซึ่งการโอนเงินครั้งนี้ นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว วันนี้จะเป็นว่าตลาดสด ตลาดค้าส่งค้าปลีกจะมีความคึกคักเป็นอย่างมาก และกลุ่มเปราะบาง ยังถือเป็นการจุนเจือ ลดภาระค่าครองชีพ ดังนั้นขอโอกาสที่เขาจะได้นำไปใช้สร้างชีวิต ช่วยเหลือครอบครัว หากมีข่าวสารเรื่องหนี้นอกระบบเข้ามามาทวง ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่งตนมีโอกาสได้คุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะนำเรียนและช่วยให้กระชับพื้นที่ด้วย
นายจุลพันธุ์ กล่าวถึงการตรวจสอบสถานะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่า จะมีการทบทวนทุกสองปี ซึ่งรอบหน้าจะมีการทบทวนในเดือนตุลาคม 2568 แม้จะถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในรอบนี้ เพราะหากบัตรนั้นไม่ได้อยู่ในกรอบที่จะได้รับสิทธิ์ในรอบนี้ก็ถือว่าไม่นับ เพราะฉะนั้น ต้องดูว่าในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังได้รับการโอนเงินช่วยเหลือรายเดือนในทุกเดือนอยู่หรือไม่