’ปานปรีย์‘ ให้คำมั่นยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
’ปานปรีย์‘ แถลงในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ให้คำมั่นยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภายในปี ค.ศ.2030 (พ.ศ.2573) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 เวลา 11.00 น. (เวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
นายปานปรีย์ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของไทยในการเสริมสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ย้ำความจำเป็นของการลงทุนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และต้องให้ประชาชนร่วมตัดสินใจในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ใช้นวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสิทธิเข้าถึงการรักษา โดยไทยจะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยหรือนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ต่อไป
นายปานปรีย์ กล่าวว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC) เป็นนโยบายหลักด้านสุขภาพที่ประเทศไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยไทยได้รวมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไว้ในความร่วมมือการพัฒนาและสนับสนุน UHC ในเวทีพหุภาคี ซึ่งการบรรลุเป้าหมาย UHC จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แม้ว่าประเทศไทยจะบรรลุการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อประชาชนไทยแล้ว แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่ไทยต้องพัฒนาต่อไป
นายปานปรีย์ กล่าวต่อว่า ภายใต้รัฐบาลนี้ ไทยจะยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นการขยายสิทธิประโยชน์ที่จำเป็น การสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค การดูแลแบบประคับประคอง ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกของบริการสุขภาพในทุกระดับให้มากขึ้น
“รัฐบาลไทยให้คำมั่นสัญญาต่อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในฐานะการมีส่วนร่วมกับผู้คนในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อผู้คนในอนาคตด้วย หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นวาระสำคัญในระดับต้น ๆ ของรัฐบาลไทย รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการหนุนเสริมสนธิสัญญาโรคระบาดใหม่ภายใต้องค์การอนามัยโลกด้วย และการปฏิรูปสถาปัตยกรรมด้านสุขภาพระดับโลกเพื่อความเท่าเทียมและการไม่แบ่งแยกมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาดำเนินตามแนวทางที่ก้าวหน้าไปสู่บรรลุเป้าหมาย SDGs ที่ก้าวหน้าสำหรับทุกคน” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว