“ก้าวไกล” เปิดยุทธการโรยเกลือภาคต่อเนื่อง หลังศึกซักฟอก จ่อฟ้องแพ่งหมู่
กรณีรัฐปกปิด ASF – น้ำมันรั่วทะเลระยอง – ปมฟ้องร้องสถานีกลางบางซื่อ 7,200 ล้านบาท
วันนี้ (23 ก.พ.65) พรรคก้าวไกลนำโดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายรังสิมันต์ โรม นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง นายปดิพพัทธ์ สันติภาดา นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าว “ยุทธการโรยเกลือภาคต่อเนื่อง” ภายหลังการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152
โดยนายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า การอภิปรายดังกล่าว มีเงื่อนไขอยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1.การซักถามข้อเท็จจริงถึงสถานการณ์การบริหารราชการแผ่นดิน และ 2.การเสนอแนะว่าการบริหารราชการแผ่นดินควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร โดยตลอดระยะเวลาการเตรียมข้อมูล พรรคก้าวไกลพบว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ สามารถนำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมายได้ ดังนี้
1.ประเด็นการค้ามนุษย์ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ และการอพยพชาวโรฮิงญา
2.การปกปิดข้อมูลการเกิดโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF จนนำไปสู่สินค้าราคาแพง ซึ่งจะมีการฟ้องแพ่งแบบหมู่ และตรวจสอบหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
3.สถานีรถไฟกลางบางซื่อ ที่เข้าข่ายการเอื้อประโยชน์และการทุจริต ซึ่งมีสำนวนคดีฟ้องอยู่ในศาล โดยจะยื่นเรื่องนี้ไปยังกรรมาธิการคณะต่าง ๆ ในสภาผู้แทนราษฎร และองค์กรอิสระให้ดำเนินการตรวจสอบ
4.สถานการณ์น้ำมันรั่วในท้องทะเลภาคตะวันออกทั้งหมด เกี่ยวข้องกับกระทรวง ทบวง กรม ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ระยะยาว โดยพรรคก้าวไกลจะนำพี่น้องประชาชนฟ้องหมู่เรียกร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชน
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า หลักฐานเกี่ยวกับโรคระบาด ASF สามารถร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยจะยื่นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบอีกทาง ทั้งนี้ยังมีข้าราชการระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ซึ่งอาจต้องฟ้องร้องกับศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ด้านนายจิรัฏฐ์ กล่าวถึงประเด็นรถไฟฟ้าสถานีกลางบางซื่อว่า เป็นเรื่องของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ค้างชำระค่าก่อสร้างกับผู้รับเหมา ใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนจนผู้รับเหมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 7,200 ล้านบาท เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทเอกชน
ส่วนนายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะขอใช้เวทีของคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน แสวงหาข้อมูลจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพราเหลังการอภิปรายยังไม่ได้รับคำตอบ หรือคำชี้แจงจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเลย
“ความตั้งใจคือ ต้องการยื่นเรื่องทุกช่องทาง แต่ประเด็นค้ามนุษย์เป็นประเด็นที่แหลมคม คนที่เป็นพยานหลักฐานได้ดีที่สุดคือ พล.ต.ต.ปวีณ การใช้ กมธ.การกฎหมายฯ เพื่อแสวงหาข้อมูล จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้ความเงียบกลบฝังปัญหาได้อีกต่อไป”
ขณะที่ นพ.วาโย จะดำเนินการฟ้องร้องนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ปล่อยปละละเลยให้มีการรั่วไหลของน้ำมันดิบในภาคตะวันออก ซึ่งเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157