อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยกเป็นประวัติศาสตร์ ‘เศรษฐา’ ใช้โอกาสร่วมเวที WEF เดินสายหารือ 22 นัดใน 12 ชม.
อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยกเป็นประวัติศาสตร์ ‘เศรษฐา’ ใช้โอกาสร่วมเวที WEF ครั้งแรกในรอบ 12 ปี เดินสายหารือ 22 นัดใน 12 ชั่วโมง ทำตามคำพูด “นำไทยกลับสู่จอเรดาร์” ท่ามกลางผู้แทนรัฐบาล-เอกชนกว่า 2.8 พันคน
วันนี้ (23 ม.ค. 67) นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ บรรยายสรุปผลการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี ค.ศ. 2024 (WEF2024) ของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 16 – 18 มกราคม 2567 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ต่อสื่อมวลชน ณ กระทรวงการต่างประเทศ
นายเชิดชาย บรรยายเกี่ยวกับการประชุม WEF2024 ว่า เป็นองค์การระหว่างประเทศด้านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในปีนี้มีผู้เข้าร่วมรวมกว่า 2,800 คน เป็นผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลกว่า 100 ประเทศ และเป็นระดับประมุข/ผู้นำรัฐบาลมากกว่า 50 ประเทศ ซึ่งมีผลประโยชน์สำคัญที่ไทยได้รับ ดังนี้
1.เป็นการทำตามคำพูดของรัฐบาล ในระดับภาพใหญ่ คือ นำประเทศไทยกลับมาอยู่บนจอเรดาร์ เนื่องจากไทยกลับมาเข้าร่วมการประชุม WEF ครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยในครั้งนี้มีการพบหารือถึงประเด็นสถานการณ์ต่าง ๆ ระดับโลก
2.เป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนยุโรปตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จึงมีการหยิบยกประเด็นพูดคุยสำคัญกับบุคคลสำคัญ เช่น ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) กับประธานกรรมาธิการยุโรป และการได้รับเชิญเข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพยูเครนจากประธานาธิบดีสวิส ซึ่งไทยจะพิจารณาเหตุผลต่าง ๆ ต่อไป
3.การเพิ่มพลังของหนังสือเดินทางไทย โดยเฉพาะการเจรจาการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) เชงเก้น ของสหภาพยุโรป ให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางไทย
4.การขับเคลื่อนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกระบวนการสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้าน
5.เน้นย้ำการให้ความสำคัญของไทยใน 3 ประเด็น ได้แก่ ไทยต้องการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ในภูมิภาค พร้อมนำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ต่อผู้ประกอบการต่างประเทศ และการสร้างระบบนิเวศในการลงทุนผ่านปัจจัยพลังงานสะอาด เพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติ
“การเข้าร่วมประมาณ 1 วันครึ่ง หลังจากเราห่างหายมา 10 กว่าปี ผมคิดว่าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการบริหารเวลาที่ค่อนข้างจำกัด … อาจเป็นประวัติศาสตร์ในช่วงเวลา 12 ชั่วโมง ท่านนายกรัฐมนตรี มีนัดหมายทั้งสิ้น 22 นัดหมาย ซึ่งเป็นการพบปะแบบ One-on-One กับเอกชน ถึง 13 นัดหมาย” อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังมีโอกาสให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNN บนเวทีร่วมกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประธานาธิบดีเวียดนาม และประธานสภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ โดยกล่าวว่า อาเซียนมาค่อนข้างไกลแล้ว จึงต้องดูว่าอาเซียนจะแบ่งปันอะไรให้กับโลกภายนอกได้บ้าง ผ่านความร่วมมือบนคำว่าสันติภาพ และเป้าประสงค์การพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค