พล.ต.อ.วินัย เตรียมเรียกสอบ 2 พลตำรวจเอก ย้ำ ตรงไปตรงมา ไม่มีกลั่นแกล้ง – ช่วยเหลือใคร

คณะกรรมการสอบ ’ต่อศักดิ์ – สุรเชษฐ์‘ ปม ความขัดแย้งใน ตร. ไม่ยืนยัน หาข้อเท็จจริงความขัดแย้งเสร็จทันภายใน 60 วัน มั่นใจทำความจริงปรากฏได้ แม้ไม่ได้ดูสำนวนคดีโดยตรง พร้อมเรียกสอบ 2 พลตำรวจเอก ให้ข้อมูล ย้ำ ทำตรงไปตรงมา ไม่มีกลั่นแกล้ง – ช่วยเหลือใคร
วันนี้ (21 มี.ค. 67) เวลา 13:00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ก.ตร. ในฐานะคณะกรรมการ และเลขานุการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีความขัดแย้งในเรื่องคดีภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ทางคณะกรรมการทั้ง 3 คนได้พูดคุยกัน และเล็งเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ จึงควรมีการสื่อสารให้ทราบความคืบหน้าการตรวจสอบ
ส่วนที่มาของการตั้งคณะกรรมการ สืบเนื่องมาจากที่นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องการแถลงข่าวโต้แย้งกันภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย และทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสื่อมเสีย นายกฯ จึงได้ตั้งคณะกรรมการที่มีความเป็นกลาง ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่ได้เป็นฝ่ายใด เพื่อมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ คือจะทำความจริงให้ปรากฏ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างไร
พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ใครทำผิดต้องได้รับผิดใครทำถูกก็ต้องได้รับความบริสุทธิ์ ใครทำกรรมดีก็ต้องได้รับกรรมดี ใครทำชั่วก็ต้องได้รับความชั่ว พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีการกลั่นแกล้ง ใส่ร้ายรังแก หรือช่วยเหลือผู้ใด และทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการปกปิด เกี้ยเซียะ หรือสมยอมอะไรกัน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงถ้าประชาชนท่านใดมีเบาะแสหรือข้อมูลหลักฐาน เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังตรวจสอบขอให้นำข้อมูลข่าวสารมาพบคณะกรรมการได้ เพื่อจะนำข้อมูลไปดำเนินการพิจารณา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการชุดนี้จะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบมากเท่าใด พล.ต.อ.วินัย ระบุว่า ตามคำสั่งให้ระยะเวลา 60 วัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คณะกรรมการจึงต้องพยายามทำงานให้รวดเร็ว และรายงานการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะๆ พร้อมเก็บข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นนำเสนอ
ส่วนเรื่องนี้จะตรวจสอบประเด็นใดบ้างนั้น พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า เรื่องที่มีการแถลงโต้ตอบกัน เรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ของเว็บพนัน ซึ่งการทำความจริงให้ปรากฏต้องได้รายละเอียดว่าใคร ทำสิ่งใดอย่างไร ตนเชื่อว่าทางคณะกรรมการจะสามารถทำความจริงให้ปรากฏได้แม้จะไม่ได้ดูสำนวนการสอบสวนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แต่ ยืนยันว่า สามารถทำความจริงให้ปรากฏได้ เรามีวิธีการอื่นที่จะให้ได้มาถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ และมีบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากเราจึงมีการขอแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม และจะรายงานให้ทราบเป็นระยะว่าตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบข้อมูลส่วนใดบ้าง โดยเบื้องต้น และคณะกรรมการจะต้องพยายามทำให้ทันภายใน 60 วัน แต่ถ้าไม่ทันก็ต้องขยายระยะเวลา ซึ่ง ณ วันนี้เริ่มทำแล้ว แต่จะตรวจสอบทันก่อนที่พล .ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เกษียณหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งวันนี้ข้อมูลต่างๆ เดินทางมาจนสุดแล้ว ฉะนั้นการดึงข้อเท็จจริงออกมาตนคิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องยากของคณะกรรมการ
เมื่อถามว่าผลการตรวจสอบครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ พล.ต.อ.วินัย เผยว่า ผลการพิจารณาจะสรุป และส่งให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งให้หน่วยใดเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนของคดีความที่อยู่ในขั้นตอนของ ป.ป.ช หรือคดีทางอาญาก็ดำเนินควบคู่กันไป ส่วนตัวคาดว่า ผลสอบของกรรมการชุดนี้ มาน่าจะกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำหรับเรื่องนี้ที่มีการตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบ พล.ต.อ.วินัย ยืนยันว่า ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่เนื่องจากประเด็นนี้ยังหาบทสรุปไม่ได้ จึงต้องหาคนกลาง มาทำงานเพื่อไม่ให้ มีใครมีส่วนได้ส่วนเสียส่วนขณะนี้ยังไม่พิจารณาการเรียกทั้งสองนายพลมาชี้แจงอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานในส่วนอื่นๆก่อน แต่อาจจะมีการเรียกมาสอบในช่วงท้ายของการทำงาน
พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นครั้งนี้มีลักษณะการทำงานที่เหมือนชุดกรรมการพิเศษที่นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ที่สอบเรื่องเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือคดีวรยุทธ์ หรือ บอส อยู่วิทยา โดยสุดท้ายมีผลการตรวจสอบสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีผู้กระทำผิดได้
ส่วนกรณีที่นายพลทั้ง 2 ท่าน ที่ออกมาแถลงว่าจะมีการปรองดองยุติข้อขัดแย้ง จะมีผลต่อการสอบหรือไม่ พล.ต.อ.วินัย ยืนยันว่าไม่มีผลใดๆ และการตรวจสอบครั้งนี้ ไม่มีมวยล้มต้มคนดู
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ คือชุดที่ตรวจสอบเรื่องการค้นบ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยผลการตรวจค้นบ้านดังกล่าว ได้ทำการเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้ว พบว่า กระบวนการเข้าค้นบ้านของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ได้ติติงเรื่องการใช้พล เพราะเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง เช่นเดียวกับเรื่องร้องของ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ที่ถูกออกหมายจับ ว่าไม่มียศในหมาย ซึ่งศาลก็พิเคราะห์ว่า เป็นการดำเนินการถูกต้อง ไม่ได้เสียหายอะไร