‘ปกรณ์วุฒิ‘ เสนอตัดงบศูนย์ต้านข่าวปลอมทั้งโครงการ 69 ล้านบาท
วันนี้ (21 มี.ค.67) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วาระ 2-3 ในมาตรา 16 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่าปีนี้จะเป็นปีที่ 4 ที่ตนเองจะอภิปรายตัดงบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทั้งโครงการ จำนวน 69 ล้านบาท โดยเปิดเผยรายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐมนตรีคนใหม่เข้าดำรงตำแหน่ง เดือนดังกล่าวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมต้องคัดกรองข้อความราว 5.4 ล้านข้อความ รวมกับข้อร้องเรียนที่ประชาชนส่งมาทาง Line Official เกือบหมื่นข้อความ พบข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 539 เรื่อง ซึ่งจะถูกส่งไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง สุดท้ายได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงาน 356 เรื่อง และมีเรื่องที่สามารถเผยแพร่ได้เพียง 235 เรื่อง
ส่วนตัวสงสัยมานานว่าเหตุใดศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเลือกตรวจสอบข่าวจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ทั้งนี้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมยังแบ่งกลุ่มข่าวที่ไม่สามารถเผยแพร่ได้ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงได้ 2.หน่วยงานปฏิเสธการตอบกลับ 3. หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่
ยกตัวอย่างข่าวที่ถูกปฏิเสธการตอบกลับ “ ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือน ก.ย.นี้ เตรียมรับเงินสูงสุด 1,900 บาท สามารถดกดเป็นเงินสดได้” ซึ่งจากการตรวจสอบกับกลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง พบว่าเพื่อความชัดเจนและข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด รบกวนสอบถามทาง ก.คลัง เนื่องจากดูแลเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยตรง สุดท้ายศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมปิดเคส สมชื่อกับศูนย์ประสานงานและแก้ปัญหาข่าวปลอม ไม่ติดตามหรือทวงถามอะไรทั้งนั้น
นอกจากนี้ในกลุ่มข่าวที่ไม่ประสงค์เผยแพร่ยังระบุเหตุผลไว้ชัดเจน โดยเฉพาะข่าว ครม. อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2567 ก่อหนี้ใหม่ 1.94 ล้านบาท หรือข่าวทำเนียบรัฐบาลใช้งบประมาณในการจัดซื้อยางรถยนต์แปดเส้น 3.4 ล้านบาท จากการตรวจสอบกับกรมประชาสัมพันธ์ชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวจริง แต่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
ตลอด 4 ปี 5 เดือน การส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานราชการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการตรวจสอบแต่เป็นการขออนุญาตเผยแพร่ข้อมูล ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่เคยมีความเป็นกลาง ไม่มีความเป็นอิสระ และเป็นแค่เครื่องมือของรัฐในการผูกขาดความจริงแบบที่รัฐอยากให้ประชาชนรู้ และปกปิดความจริงที่รัฐไม่อยากให้ประชาชนเห็นเท่านั้น โครงการเช่นนี้ไม่ควรได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว