’พริษฐ์‘ ชี้ รัฐบาลต้องกางโรดแมปทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ชัด ’นิกร‘ มอง ร่าง รธน.ใหม่ ต้องหาจุดร่วมทุกฝ่าย
เสวนา “ทบทวนรัฐธรรมนูญ 2560 สู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่“ ’พริษฐ์‘ ชี้ รัฐบาลต้องกางโรดแมปทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ชัด เสนอแพ็คเกจแก้ รธน.รายมาตรา ตัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ – องค์กรอิสระ ด้าน ’นิกร‘ มอง ร่าง รธน.ใหม่ ต้องหาจุดร่วมทุกฝ่าย ไม่ใช่พรรคใดพรรคเดียว
วันนี้ (19 ก.ย. 67) เวลา 13:00 น. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ “ทบทวนรัฐธรรมนูญ 2560 สู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่“ โดยมี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ นายนิกร จำนง กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา ( สว.) และ ผศ.ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายพริษฐ์ กล่าวว่า เส้นทางที่ 1 ที่เราต้องเดินแน่นอนคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด แต่จะเดินเส้นนี้อย่างเดียวคงไม่พอ เพราะกระบวนการบางอย่างต้องใช้เวลา แม้จะเร่งเร็วที่สุดไม่มีอุปสรรคอะไรเลยก็อาจจะใช้เวลา 1-2 ปี ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเดินเส้นทางที่ 2 คู่ขนานไปคือการแก้ไขรายมาตราในประเด็นที่จำเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขบางปัญหาไปล่วงหน้าก่อน ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาบางร่างในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ไม่สัปดาห์หน้าก็สัปดาห์ถัดไป
ทั้งนี้ เกณฑ์ที่จะใช้วัดว่าเราแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จหรือไม่ มี 2 เกณฑ์คือความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและโดยเร็วที่สุด เพราะหากเราจะทำเพียงแค่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด โดยไม่สนใจเรื่องความชอบธรรม ตนคิดว่าก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยนั้น พรรคประชาชน (ปชน.) มองว่าต้องสะท้อนความคิด ความฝัน และความต้องการของคนทุกคน ซึ่งหากจะวางนิยามที่ทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในเชิงรูปธรรมควรมี 3 องค์ประกอบ คือ 1. สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์, 2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ สสร.อาจจะตั้งขึ้นมานั้น ควรมีองค์ประกอบที่เป็นธรรมกับประชาชนและเป็นธรรมกับแต่ละฝ่ายทางการเมือง
อีกทั้ง เมื่อไปดูโมเดลที่พรรคเพื่อไทย เสนอไว้เมื่อปีที่แล้ว ก็มีความกังวลเล็กน้อยเพราะในจำนวน 47 คนนั้น 24 คนมาจาก สสร. แต่อีก 23 คนเป็นคนนอกที่มาสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แยกจาก สส. และ สว. แต่เมื่อรวมโควตาของ ครม.กับ สส.ฝ่ายรัฐบาลแล้วจะอยู่ที่ 14 คน ขณะที่โควตาของ สส.พรรคฝ่ายค้าน อยู่ 4 คน และ สว. 5 คน ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่ไม่สมดุล
3.เมื่อ สสร.จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ควรนำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ โดยไม่ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน เพราะ สว.ยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหากจะให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน ก็อาจจะเปิดช่องให้ตัวแทนที่อาจจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สามารถเข้ามาแทรกแซง ปรับแก้เนื้อหาบางประการได้ แม้อาจจะส่งมาที่รัฐสภาได้แต่ต้องไม่เปิดให้ลงมติ เพียงแค่เปิดให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายแล้วนำความเห็นนั้นบันทึกไว้ เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ประกอบตอนลงประชามติ ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลกางโรดแมปให้ชัดว่าการแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่บอกว่าจะทำให้เร็วที่สุดนั้น จะได้เมื่อไหร่และทันการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับแพ็คเกจการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่พรรค ปชน.มองว่ามีความสำคัญเร่งด่วน และเป็นไปได้จริง ซึ่งเราได้เดินหน้าแล้ว 2 แพ็กเกจ โดยแพ็กเกจแรกคือ การลบล้างผลพวงรัฐประหาร เพราะมองว่าฝ่ายการเมืองที่อาจจะเห็นต่างในบางเรื่องนั้น แต่คงเห็นตรงกันว่าไม่ควรมีรัฐประหารแล้ว โดยแบ่งเป็น 3 ร่างคือ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติฉบับคสช. เพื่อคืนอำนาจในการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์กลับไปที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและประชาชน, การทลายเกราะคุ้มกันคำสั่ง คสช. หรือการยกเลิกมาตรา 279, เติมพลังป้องกันรัฐประหาร คือการเพิ่มหมวดในการป้องกันการทำรัฐประหาร
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า แพ็กเกจที่สองคือ การตีกรอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ โดยการตีกรอบอำนาจเรื่องของการยุบพรรคการเมือง ที่จะพยายามทำให้พรรคการเมืองยึดโยงกับประชาชนมากขึ้นคือการทำให้พรรคการเมืองเกิดง่าย อยู่ได้ ตายยาก ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับพรรคการเมือง ส่วนการตีกรอบอำนาจเกี่ยวกับมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับให้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระไปนิยามว่าอะไรคือมาตรฐานจริยธรรมและนำคำนิยามนั้นไปบังคับใช้กับทุกองค์กร รวมถึงให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระมีบทบาทหลักในการไตร่สวน วินิจฉัยว่าการกระทำอะไรที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
“สิ่งที่เรากังวลคือการผูกขาดอำนาจมาตรฐานจริยธรรมในลักษณะนี้ ขณะที่การได้มาซึ่งองค์กรอิสระก็มีการตั้งคำถามว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางได้จริงหรือไม่ และเป็นการไปเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้บทบัญญัติเหล่านี้ก่อให้เกิดการตีความกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจนแน่นอน ไม่เป็นธรรม สุ่มเสี่ยงที่จะใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ เรื่องจริยธรรมจะถูกใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองโดยผู้มีอำนาจเดิมที่เกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้” นายพริษฐ์ กล่าว
ด้านนายนิกร กล่าวถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญว่า ตนคิดเรื่องนี้มาตลอด 20 ปี จากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ตนเห็นว่าความขัดแย้งมักจะนำไปสู่การยึดอำนาจ และมาออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ถือว่าผิด ทั้งนี้ ตนเคยเห็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมาก่อน จึงรู้ว่าประชาชนมีความชื่นชมอย่างไร ซึ่งตนมองว่ารัฐธรรมนูญควรมีกลไกให้แก้ไขได้ เผื่อให้รัฐธรรมนูญไหลไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม หากไปล็อคไว้ไม่ให้แก้เหมือนรัฐธรรมนูญ 60 มันก็จะแตก เพราะบิดตัวไม่ได้
นายนิกร กล่าวต่อว่า ธงแรกที่ตนเองต้องการคือการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องมาจากประชาชน และแก้ไขได้ง่าย ซึ่งกระบวนการต้องค่อยๆ เดินไป โดยใช้ประชาชนเป็นหลังพิง และต้องคำนึงถึงหลักของการเปลี่ยนแปลง อย่างวันนี้เรามาเถียงกันเรื่องแอพลิเคชั่น แต่หากไม่สามารถอัพเกรดเครื่องโทรศัพท์ มันก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องออกแบบกระบวนการ ให้ประชาชนเข้าใจรัฐธรรมนูญเสียก่อน เพื่อให้เขาเคารพความขัดแย้ง แล้วค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ตนขอไม่เอารัฐธรรมนูญแบบฟาสต์ฟู้ด
ซึ่งเรื่องรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลไม่ได้ เพราะโดยปกติ กระบวนการต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-3 ปี ซึ่งจะทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะตัวแปรที่เราควบคุมไม่ได้มีอยู่เยอะ อย่างไรก็ตาม ธงที่เราตั้งไว้ว่าจะทำประชามติรอบแรกพร้อมการเลือกตั้ง อบจ.ทั้งประเทศ ยืนยันว่าทำได้แน่นอน เป็นการเริ่มก้าวแรกของการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยที่รัฐบาลบอกว่าจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เร็วที่สุด และเชื่อว่ากระบวนการจะถูกเร่ง แต่ยอมรับว่า อาจจะไม่ทันใช้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะเราไปควบคุมขั้นตอนในการแก้มาตรา 256 ไม่ได้ การทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง ก็ใช้เวลาทั้งหมด 1 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เรามีสิทธิ์ที่จะฝัน โดยส่วนตัวมองว่าจะทำได้ทันในสภาฯ ชุดนี้ แต่อาจไม่ทันได้ใช้กฎหมายลูกในการเลือกตั้ง แต่อย่างน้อย เราก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
นายนิกร กล่าวอีกว่า มีความเป็นห่วงว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้มีหลายธง ทั้งของพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ดังนั้นปัญหาที่เราต้องระวังคือ ต้องไม่ลืมว่ารัฐธรรมนูญเป็นฉบับของประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่ของพรรคการเมือง หรือของกลุ่มใด เพราะฉะนั้น ควรฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายด้วย แม้แต่กองทัพ และชนชั้นนำ หากเราไม่ฟังโดยรอบ ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญของพรรคใดพรรคหนึ่ง
รศ.ดร.ประภาส กล่าวถึงการยกเลิกมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งมาตราดังกล่าวถือเป็นมรดกของ คสช. ที่มีหลายคำสั่งนำมาสู่การปฏิรูประบบกฎหมาย และการจัดการในหลายเรื่อง และเป็นการสร้างผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน เช่น เรื่องที่ดิน โดยส่วนตัว มองรัฐธรรมนูญปี 60 มีความแตกต่างกับรัฐธรรมนูญปี 40 อย่างมาก เพราะมีเรื่องการถ่ายโอนอำนาจจากข้างบนลงข้างล่าง สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
แต่รัฐธรรมนูญปี 60 เป็นการสร้างระบอบอำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง และมีหลายองค์กรที่ปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย เสมือนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสะท้อนการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจเปลี่ยนไป เป็นการนำอาจขึ้นไปข้างบน ลดอำนาจประชาชน เพิ่มอำนาจให้รัฐ ไม่ใช่มิติเฉพาะการเมืองที่แตกต่างกับรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ทำให้กลายเป็นยุคตกต่ำ ถดถอย ในเรื่องสิทธิชุมชน และการเมืองภาคประชาชน
“ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่เกิดขึ้นภายในสถาบัน องค์กรทางการเมือง แต่มันเกิดขึ้นจากบริบททางการเมืองภายนอกที่กดดัน ซึ่งตราบใดก็ตามถ้าพลังทางสัมคมไม่เข้มแข็ง ไม่ผลักดัน ก็จะไปไม่ได้“ รศ.ดร.ประภาส กล่าว
ส่วนบทบาทของ สว.ใหม่ต่อการแก้รัฐธรรมนูญนั้น รศ.ดร.ประภาส มองสว่า การแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่อาจจะมีการแก้ในรายมาตรา ซึ่งข้อเสนอเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญของนายพริษฐ์ เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะผ่านการเห็นชอบจาก สว. แต่ก็มีส่วนที่สำคัญอย่างมากที่เห็นด้วย อย่างกรณีบทบัญญัติเรื่องการการป้องกันการรัฐประหาร เป็นเรื่องที่ต้องฉันทานุมัติของสังคม ไม่ให้เกิดการยอมรับในการแทรกแซงทางการเมืองแบบนี้ และแม้จะไม่ได้ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ แต่การรณรงค์อย่างกว้างขวางเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก และสังคมไม่ควรรับรองคำสั่งของคณะรัฐประหาร มีศักดิ์และสถานภาพเทียบเท่ากับกฎหมาย
รศ.ดร.ประภาส กล่าวเห็นด้วยกับนายนิกรในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ส่วนในรายมาตราก็มีความสำคัญ และควรมีการสร้างบทสนธนาในสังคม แม้จะยากในเรื่องการยอมรับจากผู้คนในสังคมในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปที่พรรคประชาชนจะเสนอไป
“อยากเรียนร้องรัฐบาลว่า ก็ควรกำหนดปฏิทินหรือประกาศให้มันชัดเจนเกี่ยวกับการลงประชามติ ประชาชนจะได้เห็นว่าเราจะเดินก้าวแรกได้เมื่อไหร่“ รศ.ดร.ประภาส
ขณะที่ ผศ.ดร.เข็มทอง เผยว่า ผลงานที่ผ่านมาของรฐธรรมนูญปี 2560 ที่ ใช้มากว่า 7 ปี ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจอยู่นานกว่าฉบับปี 2540 คาดว่า จะไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่น่าจะเป็นการแก้ไขฉบับเดิมเพิ่มเติม การดูว่ารัฐธรรมนูญนั้นประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวต้แงดูจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ที่มีรัฐธรรมนูญขึ้นมา ในโลกยุคใหม่นั้นระบบการเมืองควรถ่ายทอดเสียงประชาชนให้ออกมาเป็นนโยบายและการกระทำที่เป็นรูปธรรมและรัฐธรรมนูญควรลดความขัดแย้งในสังคม ทั้งการประท้วง การปะทะ
ผศ.ดร.เข็มทอง ยังกล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แยกเป็นแบบทับซ้อนคือฉบับ5 ปีแรกและฉบับถาวรที่ใช้ในปัจจุบัน ทั้งกว่าจะได้ใช้อย่างจริงจังก็ผ่านไปเกือบ 3 ปีคือหลังการเลือกตั้งปี 2562 มองว่าจุดที่น่าสนใของรัฐธรรมนูญฉบับ 60 นี้ไม่สามารถทำให้เจตจำนงประชาชนเปลี่ยนเป็นรูปธรรมทางการเมืองได้ เพราะมีกลไกลจำนวนมากในการกลั่นกรองเสียงข้างมาก รวมถึงกลไกลหลังการเลือกตั้งทั้งการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องมีเสียงของวุฒิสภา(สว.)มาโหวต ทั้งการที่สังคมตื่นตัวการสรรหาสว.แต่ระบบถูกออกแบบให้ประชาชนไม่สามารถเลือกสว.ได้ คะแนนมาจากการเจรจารอบต่างๆ ทังหมดนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดในระบบ
”อย่างการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ทุกคนเฝ้าดู ตอนเช้าเป็นนายกตอนบ่ายหลุดไปแล้ว มีแรงกระเพื่อมหลังจากนั้น กว่าจะแต่งตั้งครม. เป็นความตึงเครียดในระบบทั้งสิ้น“ ผศ.ดร.เข็มทอง กล่าว