จับตา ก.ทรัพย์ ไฟเขียว “ชัยวัฒน์” กลับเข้ารับราชการ ชี้ อัยการสูงสุดสั่งฟ้องเป็นเรื่องส่วนตัว
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบคำถามสื่อมวลชน ระหว่างลงพื้นที่สำรวจการสร้างศูนย์วิจัยความเป็นเลิศด้านพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก และศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง วานนี้ (18 ส.ค. 65) ถึงกรณีที่ อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวก รวม 4 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของนายชัยวัฒน์ ก็ต้องว่ากันไป ตนได้ย้ำกับปลัดกระทรวงฯ ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนแล้วแต่ทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่การดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ และเงื่อนไข ที่หน่วยงานอื่นๆ มี เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน คงต้องดำเนินการตามระเบียบที่มีอยู่
ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า วันนี้ (19 ส.ค. 65) ที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (อ.ก.พ.กระทรวงฯ) มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวศาลปกครอง จ.เพชรบุรี ให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กลับเข้ารับราชการ หลังจากมีการขออนุมัติตำแหน่งเฉพาะตัว (ฉ) สำหรับกรณีนายชัยวัฒน์ โดย คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้อนุมัติตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว จึงไม่มีปัญหาสำหรับการกลับเข้ารับราชการ
ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ลงนามโดย นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด โดยหนังสือได้ยืนยันว่า อัยการสูงสุดได้ลงนามในความเห็นสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกรวม 4 คน ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย โดยมีข้อหาดังนี้
1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนกระทำไว้
2.ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจโดยให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ
3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย และ 4.ร่วมกันทุจริตหรืออำพรางคดี กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปนั้น
ภาพ แฟ้มภาพ