POLITICS

ศาลพิพากษาคดีพันธมิตรชุมนุมสนามบินดอนเมือง ปรับ 2 หมื่น เหตุ ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ

ศาลพิพากษาคดีพันธมิตรชุมนุมสนามบินดอนเมือง แกนนำโดนโทษปรับ 20,000 บาท เหตุ ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ พร้อมยกฟ้องข้อหาอื่น ๆ ด้าน ‘อัญชะลี – ปานเทพ’ ชี้ ไม่มีใครควรได้อภิสิทธิ์ชน หวัง เกิดกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง

วันนี้ (17 ม.ค. 67) ที่ศาลอาญา ภายหลังศาลนัดแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมือง คดีหมายเลขดำ อ.973/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 32 คน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นกบฏ-ก่อการร้ายฯ

นายประพันธ์ คูณมี หนึ่งในแกนนำ เปิดเผยถึงรายละเอียดคำพิพากษาในวันนี้ ว่า จากคำฟ้องของอัยการ เนื่องจากอัยการฟ้องหลายข้อกล่าวหา เช่น ข้อหาบุรุก ชุมนุมผิด พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ก่อการร้าย ซ่องโจร ชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน แต่หลัก ๆ คือศาลวินิจฉัยเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ คือ มองว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง ในประเด็นนี้ศาลวิเคราะห์ว่าการชุมนุมนี้สืบเนื่องเรื่อยมา คือมีวัตถุประสงค์เดียวคือคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมัยรัฐบาลนั้น เพื่อให้การกระทำความผิดของนักการเมือง เกี่ยวกับทุจริตคอรัปชั่น ไม่เป็นความผิด ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่

ประเด็นถัดมาเห็นว่าการเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นตัวแทนนอมินีของนายทักษิณ ชินวัตร โดยศาลมองว่าการที่ออกมาชุมนุมคัดค้านต่อเนื่องมา เพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดิน เกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ ได้พิสูจน์จากการนำสืบพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง จากศาลฎีกา ถือว่ามีเหตุผล มีเจตนารมณ์เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง และเป็นการชุมนุมโดยสงบ

นายประพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า ศาลเห็นว่าการชุมนุมโดยรวมทั้งหมด ของจำเลย ทั้ง 31 คน เป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ และไม่เป็นความผิดฐานชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และข้อหาอื่น ๆ ด้วย และยังไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ไม่ทำลายท่าอากาศยานหรือสนามบิน จึงไม่เข้าข่ายข้อหาการก่อการร้าย

ส่วนความผิดฐานบุกรุก นายประพันธ์ ระบุว่า เนื่องจากว่าสนามบินดอนเมืองขณะนั้น เป็นที่ที่รัฐบาลใช้ประชุมคณะรัฐมนตรีชั่วคราว มวลชนบางกลุ่มเข้าไปในอาคารนั้น แม้จะได้รับการอนุญาต แต่ศาลมองว่าเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานของ ครม. และบางช่วงเวลามีผู้ชุมนุมเข้าไปนอนในระหว่างที่พักชุมนุม การเข้าไปในบริเวณนั้นอาจไปรบกวนผู้โดยสาร มองว่ารบกวนอสังหาริมทรัพย์ของท่าอากาศยาน จึงลงลงโทษความผิดฐานบุกรุกจำเลยที่ 1 – 5 และ 7 – 13 ส่วนจำเลยอื่น ๆ ที่เป็นผู้ปราศรัย ก็ไม่มีความผิด ขณะเดียวกันในระหว่างนั้นก็มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามเข้าพื้นที่ และมองว่าแกนนำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกรรมเดียวกัน จึงลงโทษบทหนักของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ปรับแกนนำคนละ 20,000 บาท

ส่วนความพึงพอใจของผลการตัดสิน นายประพันธ์ กล่าวว่า ตนเองเคารพ และพอใจ ศาลก็วินิจฉัยโดยละเอียดในทุกประเด็นทุกข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องอื่น ๆ อาจมีเหตุที่ไม่มีคนพบเห็นว่าเป็นการกระทำของจำเลย ไม่มีพยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นคนทำ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ด้านน.ส.อัญชะลี ไพรีรัก กล่าวว่า คดีนี้ใช้เวลากว่า 11 ปีกว่าจะเดินทางมาถึงศาลชั้นต้น ทำให้บางคนเจ็บป่วย แต่เมื่อศาลตัดสิน ก็มีข้อกำหนดว่าต้องอ่านต่อหน้าจำเลยเท่านั้น แม้จะอยู่โรงพยาบาล แต่ก็ต้องเข้ามารับฟังแบบออนไลน์ ดังนั้น เราทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะมาหลีกเลี่ยง บิดพริ้วไม่ได้ จะอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ รวมถึงหลายคนที่ชรา หลายคนนั่งรถเข็นมาฟังคำตัดสิน

“พวกเราอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน เราทำเหมือนทุกคน เราไม่อยู่เหนือกฎหมาย เราไม่อาศัยสิทธิพิเศษ เราไม่ใช้อภิสิทธิ์ ชนเราหวังว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะได้ยิน หวังว่านายกฯ เศรษฐาจะได้เห็น และหวังว่าคุณทักษิณ ชินวัตรจะได้รับรู้เรื่องราวที่เราขึ้นศาลอีกครั้งในวันนี้ ด้วยสภาพแบบนี้ ด้วยวิธีอย่างนี้” น.ส.อัญชะลี กล่าวทิ้งท้าย

ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ระบุว่า เราทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ชาติ การตัดสินของศาลในวันนี้ พยานหลายปากยืนยันว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ และไม่เกี่ยวข้องกับการบินและสามารถเปิดใช้ได้เลยในวันรุ่งขึ้น จึงไม่มีความผิด เนื่องจากเหตุในการชุมนุมเป็นเหตุในการรักษาชาติคือเรื่องจริง และไม่มีหลักฐานว่ามีการวางแผนเรื่องของความรุนแรง แม้จะมีความผิดเรื่องของการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เราก็น้อมรับ เราได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ ส่วนในขั้นถัดไปจำเลยชุดที่ 2 จะมีคำพิพากษาในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ถือเป็นคดีต่อเนื่อง ก็จะมาฟังอีกครั้งหนึ่งว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไร

“คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของการใช้สิทธิ์ โดยวิธีการชุมนุมสาธารณะ และเป็นพื้นที่สาธารณะ คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไป ในการเป็นขวัญกำลังใจสำหรับคนที่เขารักชาติบ้านเมือง ที่เขาต้องการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งความยุติธรรมในประเทศนี้ ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และการที่เรามาถึงวันนี้ เราไม่มีหนีเลยแม้แต่คนเดียว เราไม่เคยหนีคำพิพากษา ไม่เคยหนีกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยร้องขอสิทธิ์อภิสิทธิ์เฉพาะตน หรือคณะหมู่อื่นใด เราทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จึงต้องเรียกร้องไปยังคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นนักโทษชายเด็ดขาด ให้เห็นแก่ส่วนรวม อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ถ้าท่านทำให้กระบวนการยุติธรรม ยังคงเป็นธรรมต่อไปได้ จะทำให้สังคมเดินหน้า แต่ถ้ายังเห็นประโยชน์ส่วนตัว ที่ไม่ต้องเข้าคุกเลยแม้แต่วันเดียว แม้จะมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว ท่านก็ยังเป็นปัญหาแผ่นดินต่อไป ประเทศนี้ยังคงมีปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ยุติธรรมกับประชาชนต่อไป” นายปานเทพ กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend