POLITICS

กองทัพเรือแจงตรวจสภาพเรือหลวงสุโขทัยตามมาตรฐาน

กองทัพเรือแจงตรวจสภาพเรือหลวงสุโขทัยตามมาตรฐาน แม้มีส่วนชำรุดจริง แต่ไม่กระทบการเดินเรือ

วันนี้ (16 ก.พ. 66) สืบเนื่องจาก นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงถึงกรณีเรือรบหลวงสุโขทัยอับปางว่าเกิดจากความบกพร่องในการซ่อมเรือหรือไม่นั้น พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) และ พล.ร.ท.สุทธิศักดิ์ บุตรนาค เจ้ากรมอู่ทหารเรือ เข้าชี้แจงกรณีดังกล่าวที่อาคารรัฐสภา

พล.ร.อ.ชลธิศ ระบุว่า เหตุเรือรบหลวงสุโขทัยอับปางในวันที่ 18 ธ.ค. 65 ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เรือรบหลวงสุโขทัยลำนี้อายุ 36 ปีแล้ว แต่หลังจากซ่อมก็ยังใช้เรืออย่างเต็มขีดความสามารถของเรือ ทั้งใช้ในการฝึกองค์ยุทธวิธี องค์บุคคล และปฎิบัติราชการกับทัพเรือภาคที่ 1 ตลอดทั้งปี 64 และปี 65 จนวันที่อับปาง คือ 18 ธ.ค. 2565 ภารกิจล่าสุดที่ใช้เรือปฏิบัติงานคือการออกลาดตระเวนร่วมกับกองทัพเรือเวียดนามในทะเลลึก เพราะฉะนั้นเรื่องความพร้อมและขีดความสามารถของเรือภายหลังการซ่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าเรือมีความพร้อมในการออกปฏิบัติราชการ

ก่อนเรือออกทำภารกิจ ผู้บังคับการเรือ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรือทั้งหมด ต้องประเมินความพร้อมของสภาพแวดล้อม องค์บุคคล องค์วัตถุ รวมถึงตัวเรือ กองทัพเรือแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อหาสาเหตุของการอับปาง สาเหตุของการสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก และการกอบกู้ช่วยเหลือเป็นไปตามขั้นตอนหรือไม่ รวมถึงตั้งคณะกรรมการอีกคณะสอบสวนการทำความผิดทางละเมิด ข้อสงสัยที่ ส.ส. นำเสนอ กองทัพเรือ ดำเนินการตรวจสอบแล้วทั้งสิ้น

“กองทัพเรือพยายามประมวลหาสาเหตุที่สำคัญ เน้นย้ำว่าไม่เคยเกิดเหตุลักษณะนี้มาก่อน และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ โดยสอบพยานบุคคลไปแล้วครั้งหนึ่งราว 200 ปาก แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะต้องการความรอบคอบและชัดเจนในทุกประเด็นเพื่อตอบคำถามต่อตัวเองและสังคมให้ได้ ขณะเดียวกันก็จะเร่งดำเนินการสอบเพิ่มเติมให้ถึงพร้อมทั้งคุณภาพและปริมาณของพยานบุคคล” พล.ร.อ.ชลธิศ กล่าว

ด้าน พล.ร.ท.สุทธิศักดิ์ ชี้แจงในส่วนของการซ่อมทำครั้งใหญ่เมื่อปี 2561-2563 นั้น มีขั้นตอนตรวจสภาพตัวเรือทั้งหมด ทั้งที่เรือจอดอยู่ในน้ำ ไม่สามารถมองเห็นใต้ท้องเรือ หรือมองจากข้างในไปข้างนอกได้ ใช้วิธีประเมินขอบเขตของงาน และเรียกเรือเข้าอู่แห้ง สูบน้ำออก จึงจะเห็นจำนวนแผ่นเหล็กที่ชำรุดเสียหายจริงทั้งหมด แล้วจึงย้อนไปดูใน TOR (เอกสารแสดงรายละเอียดขอบเขตของงาน) เพื่อพิจารณาว่าจะหาตัวผู้ประกอบการมาซ่อมทำ หรือจะซ่อมทำเอง

พล.ร.ท.สุทธิศักดิ์ ยืนยันว่า กรมอู่ทหารเรือไม่มีการลดหรือตัดทอนเนื้องานใด ๆ แต่ให้อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ ดำเนินการเองโดยไม่ลดขอบเขตงานลงแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเครื่องจักร เครื่องไฟฟ้า จะไม่ว่าจ้าง ดำเนินการเอง แต่ต้องยอมรับว่าจำนวนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรือทั้ง 4 เครื่อง อาจไม่พร้อมทั้งหมด แต่ถึงแม้มีเหลือเพียงเครื่องเดียว เรือก็ยังสามารถออกปฏิบัติราชการได้ เพราะอีก 2 เครื่องคือเพื่อสำรองไว้เท่านั้น

สำหรับฟินเรือ ที่มีข้อสงสัยว่าถอดออกหรือไม่ได้ติดตั้งเพิ่ม พล.ร.ท.สุทธิศักดิ์ ยอมรับว่า หลังประจำการมา 36 ปี มีฟินกราบซ้ายประสบอุบัติเหตุ และหาอะไหล่มาซ่อมแซมไม่ได้เนื่องจากบริษัทเลิกผลิตไปแล้ว หากไปเปลี่ยนแปลงฟินเรือ อาจส่งผลต่อสมรรถนะของเรือ จึงได้ข้อสรุปว่าจะถอดฟินเรือออกไป เพื่อให้ไม่กระทบต่อยุทธการ พร้อมยืนยันว่าการซ่อมทำเรือดำเนินการตามมาตรฐานทุกประการ มีทั้งชิ้นงานที่ว่าจ้าง และกรมอู่ทหารเรือดำเนินการเอง

“เราไม่เคยทิ้งเรือที่ออกไปปฏิบัติราชการ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เราก็ดำเนินการซ่อมทำให้ทุกประการ เราตรวจสอบมาตรฐาน ทำให้เรือมีความพร้อมก่อนออกปฏิบัติราชการ มีใบควบคุมกำกับชัดเจน อะไรที่ไม่ได้มาตรฐานจะไม่ปล่อยเรือออกไปเด็ดขาด” พล.ร.ท.สุทธิศักดิ์ กล่าว

สำหรับประเด็นภารกิจค้นหาและช่วยเหลือลูกเรือผู้สูญหาย รวมถึงการกอบกู้ซากเรือ พล.ร.อ.ชลทิศ ชี้แจงว่าอยู่ระหว่างการปรับกำลังดำเนินงาน โดยหลังจากผ่านมา 2 เดือน ประมาณการว่าผู้สูญหายถูกกระแสน้ำซัดไปใกล้ฝั่ง จึงอาศัยกำลังของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ให้เดินสำรวจหาบริเวณชายฝั่ง และกรณีร่างผู้สูญหายทั้ง 5 นาย จมลงใต้น้ำ ก็ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษลงตามหาบริเวณใต้น้ำแล้ว แต่ยังหาไม่พบ

สำหรับประเด็นเรื่องการกู้เรือ พล.ร.อ.ชลทิศ กล่าวว่า กองทัพเรือดำเนินการศึกษาวิธีกู้เรือ และความคุ้มค่าต่องบประมาณที่จะเสียไป ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเจ้ากรมอู่ทหารเรือก็เป็นหนึ่งในกรรมาธิการหลักในการพิจารณาอยู่

พล.ร.อ.ชลทิศ กล่าวถึงสถานะของเรือรบหลวงสุโขทัย ว่า เรืออยู่ห่างออกไป 20 ไมล์จากท่าเรือบางสะพาน อยู่ที่ความลึกประมาณ 50 เมตรใต้ทะเล ความสูงตัวเรือประมาณ 20 เมตร นับจากเสากระโดงจบหรือใต้น้ำประมาณ 26 เมตร ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อการเดินเรือในภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือก็ส่งกำลังดำเนินการไปวางทุ่นหมายในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อย และส่งกำลังไปลาดตระเวนเพื่อแจ้งเตือนเรือประมงและผู้ใช้ทะเลในบริเวณนั้นให้รับทราบ

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat