กมธ.อุตสาหกรรม เผยเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมคืบหน้าไปแล้ว 14% จับตาโกดังเก็บกากของเสีย จ.อยุธยา

วันนี้ (15 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สส.ราชบุรีเขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมว่า ขณะนี้มีการขนย้ายไปแล้ว 14% ปริมาณ 1,806 ตัน

สำหรับช่วงแรกขนย้ายทั้งในพื้นเรียบพร้อมซ้อนถุงบิ๊กแบ๊ค 2 ชั้น และใส่ตู้คอนเทนเนอร์ และตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.เป็นต้นมา กระทรวงอุตสาหกรรมได้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ในการขนย้ายกากแคดเมียมไปที่จังหวัดตากจนครบแล้ว ซึ่งตามแผนจะต้องขนย้ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 มิ.ย. โดยวันนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว 14%

ส่วนการเตรียมบ่อกักเก็บ หรือบ่อที่จะต้องใช้ฝังกลบ นายอัครเดช กล่าวว่า จะต้องมีการปรับปรุงบ่อด้วยการเทพื้นคอนกรีตใหม่ทั้งหมด ขณะนี้ผู้ประกอบการกำลังเร่งดำเนินการ แต่การตรวจสอบความแข็งแรงของบ่อ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเมืองแร่ แจ้งว่าจะต้องให้บริษัทที่ปรึกษา หรือสถาบันการศึกษา เข้ามาตรวจสอบเพื่อให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานของ EIA จากอาคารพักคอยมาที่หลุมฝังกลบจะต้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย. 2567 ซึ่งขณะนี้ ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้

นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของการคืนพื้นที่ ขณะที่มีการพบกากอุตสาหกรรม 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และ สมุทรสาคร โดยขณะนี้สามารถคืนพื้นที่ได้แล้วหนึ่งจุด คือ กรุงเทพฯ ซึ่งกรมควบคุมมลพิษและกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ตรวจสอบสารตกค้างแล้ว ยืนยันว่าปลอดภัยจากโลหะหนักอันตราย หรือโลหะแคดเมียม จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่อุ่นใจได้ ความปลอดภัยกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว

สำหรับกรณีที่มีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ นายอัครเดช กล่าวว่า จากการตรวจสอบ มีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการในความผิดอาญาทั้งหมด 4 ฐานความผิด ได้แก่

1.นำสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรงงาน พ.ศ.2535

2กรณีแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ทั้งหมด 130 กรรม

3.มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย โดยไม่ได้รับอนุญาตของผู้ครอบครอง ณ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพฯ รวมทั้งตัวการร่วมด้วย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535

4.การนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่เป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

กรณีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทาง ป.ป.ท., ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. ชี้แจงว่า ขณะนี้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว 70% ซึ่งสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนจะมีความผิดอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่ขอให้รวบรวมข้อมูลและหลักฐานให้ได้ 100% ก่อน แต่ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก และสำนวนคดีทั้งหมด ป.ป.ท. และ ป.ป.ง. จะส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อ ซึ่ง ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องดังกล่าวมาสอบสวนหาผู้กระทำความผิดกรณีที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน ทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ซึ่งเป็นมูลฐานความผิดตามมาตรา 48 และ 49

นายอัครเดช กล่าวด้วยว่า ได้หารือกรณีการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งกากของเสียที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยใช้งบประมาณ 6.9 ล้านบาท ย้ายกากของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมไปดำเนินการให้เป็นไปตามหลักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน ได้ออกหมายจับดำเนินคดีกับผู้ที่เช่าโกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวจับกุมผู้กระทำความผิดตามหมายจับ และที่ประชุมยังพูดถึงการเฝ้าระวังโรงงานอีกแห่งหนึ่ง ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโกดังเก็บกากของเสียที่มีลักษณะเหมือน อ.ภาชี แต่มีปริมาณกากของเสียอุตสาหกรรมมากกว่า จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นย้ำเรื่องการเกิดเพลิงไหม้ซ้ำ ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดซ้ำรอย เพราะทั้ง 3 โรงงานนี้มีความเชื่อมโยงกันของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก ผู้ถือหุ้น หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทำธุรกิจร่วมกัน