‘ทักษิณ’ ย้ำพรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันไม่แตะ ม.112
หลังเสียงแตก เรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชี้ ตัวเองก็ตกเป็นเหยื่อเพราะถูกหมั่นไส้ เผย เคยคุยกับ ‘ธนาธร’ ขอให้ช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง แต่อย่ารื้อโครงสร้างมากเกินไป เพราะบางทีจุดที่โฆษณา อันตรายกว่าความตั้งใจ
วันนี้ (14 พ.ย. 67) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการพูดปราศรัยเรื่องความเท่าเทียมบนเวทีที่เป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง เป็นการทวงคืน พอจะระบุเป็นเจตจำนงค์ ได้หรือไม่ว่าจะเป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้กับนักโทษทางการเมืองคนอื่นได้อย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า เรื่องนี้มีความซับซ้อนหลายอย่าง ที่จริงแล้วเรื่องการเมือง หลังจากการปฏิวัติ ที่โดนปฏิวัติ ก็ไล่ห้ำหั่นกันในทางการเมือง และต่อมาที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดนปฏิวัติ ก็เหมือนกัน หลังจากนั้นก็ผสมโรงด้วยคนต่าง ๆ ซึ่งวันนี้ก็พูดบนเวที และมีความชัดเจนมากขึ้น
นายทักษิณ กล่าวถึงเรื่องนิรโทษกรรมที่ดูเหมือนพรรคร่วมรัฐบสลไม่เอาด้วย ในประเด็นมาตรา 110 และ 112 ว่า คดี 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่าเราจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริง ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ตนเองก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง ในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 คนที่รับคดีครั้งแรกบอกว่าเดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง โดยที่ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดี และรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้อง คือการรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่าย ในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา
เมื่อถามว่าในสมัยหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน จะผลักดันหรือไม่ นายทักษิณ มองว่า ไม่อยากไปให้ความเห็นในเรื่องนี้ ตนเองไม่อยากมีบทบาท เดี๋ยวจะหาว่า เพราะคนนั้น คนนี้ ถ้าเราอยู่บนหลักการทุกอย่างมีทฤษฎี มันก็จะไม่เป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากว่า เราไปมองว่าเป็นเรื่องของพวกใครพวกมันมากกว่า มันถึงได้เป็นปัญหา ถ้าเมื่อไหร่เราจิตใจนิ่งสงบ คิดถึงหลักการเป็นหลักไม่คิดถึงพวกใครพวกมัน ก็จะดีขึ้น
เมื่อถามว่า มองว่าอะไรที่ทำให้ข้อหาไม่จงรักภักดี ใช้ได้ได้ผลเสมอในทางการเมือง นายทักษิณ ตอบว่า “ก็การเมืองไง ดูสิ ผมนี่โดนหนักที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ถวายงานที่สุด แต่ด้วยความหมั่นไส้ เป็นเรื่องธรรมดา“
เมื่อถามต่อว่า ในแต่ละเหตุการณ์มีบริบทเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร ทั้งเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549, 2557 จนถึงพรรคการเมืองโดนยุบเพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายทักษิณ กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว ตนเองเคยคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าตนเองก็โดน 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้น ขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ไม่ได้บอกว่านายธนาธร หรือพรรคก้าวไกล ไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตราย กว่าความตั้งใจที่จะทำ
เมื่อถามว่าหากจะแก้ปัญหาโดยไม่แตะโครงสร้างจะมีวิธีการอย่างไร นายทักษิณ ระบุว่าก็ต้องทำตามหลักการของกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ดีก็ต้องแก้ไขกฏหมายไปที่ละขั้นตอน ไม่ใช่บอกว่ากฎหมายไม่ดีต้องไม่ทำเลย เพราะกฎหมายมันมีอยู่