‘เรืองไกร’ ยื่นหลักฐานเพิ่มเติม หลัง กกต. ตีตกคำร้อง ปม ‘พิธา’ ถือหุ้นไอทีวี

‘เรืองไกร’ ยื่นหลักฐานเพิ่มเติม หลัง กกต. ตีตกคำร้อง ปม ‘พิธา’ ถือหุ้นไอทีวี ชี้ คลิปบันทึกการประชุม ไม่ทำให้ข้อกฎหมาย และรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไป เมิน ถูกร้อง ม.143 บอกรู้สึกคันๆ นิดหน่อย
วันนี้ (13 มิ.ย. 66) เวลา 10:00 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นำหลักฐานเพิ่มเติมเข้ายื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับกรณีการถือครองหุ้น ITV จำนวน 42,000 หุ้น ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ในการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) มาตรา 151 ในคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนของ กกต.
นายเรืองไกร เปิดเผยว่าในประเด็น ม.151 ที่ กกต. แถลงต่อสื่อมวลชนไปแล้ว ซึ่งตนได้ติดตาม และมีข้อมูล 4 หัวข้อที่เห็นว่าต้องยื่นให้ กกต.ใช้ในการประกอบการพิจารณา และเพื่อให้นายพิธา ได้มาแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ กกต.ได้เชิญไป
โดยใน 4 ประเด็นที่มายื่นวันนี้ คือ กรณีที่นายพิธาโพสต์ใน Facebook ของตนเอง ชี้แจงเรื่องหุ้น ITV ,เรื่องการโอนหุ้นของนายพิธาที่มีการโอนในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ,เรื่องการตีตก 3 คำร้องการยื่นสอบคุณสมบัตินายพิธา และเรื่องการการระบุหมายเหตุประกอบการเงิน ITV เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566
นายเรืองไกร ยังกล่าวถึงกรณีการรายงานการประชุมวาระท้ายที่เกี่ยวกับการซักถามของการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ณ วันที่ 26 เมษายน 2566 ที่มีการถามคำถามเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของ ITV ที่เอกสารบันทึกการประชุมไม่ตรงกันกับคลิปภาพที่มีการปรากฏออกมา โดยระบุว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับคำร้อง และไม่ทำให้ข้อกฎหมายของรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไป และข้อเท็จจริงที่มาร้องเปลี่ยนไป เพราะกฎหมายบอกว่าผู้สมัครต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้น และประเด็นวัตถุประสงค์ของบริษัท ITV หลังจากถูกบอกเลิกสัญญาจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ว่าวัตถุประสงค์หลักยังอยู่ คือการดำเนินธุรกิจสื่อ แต่งบการเงินในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีการระบุไว้ ว่ามีการทำธุรกิจสื่อตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 และจะรับรู้รายได้จากการทำสื่อดังกล่าวในไตรมาสที่ 2
ส่วนการที่พรรคก้าวไกลมีการยอมรับว่า นายพิธา ถือหุ้นสื่อจริง แต่เหตุใดจึงไม่แจ้งการถือหุ้น 42,000 หุ้นของ ITV ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ส.ส. และมีการยื่นเพิ่มเติมภายหลังนั้น เพื่อต้องการที่จะปกปิดหรือไม่ และยังมีการเลื่อนการยื่นบัญชีทรัพย์สิน หลังจากพ้นตำแหน่ง ส.ส.อีกด้วย
จึงขอเรียกร้องให้ นายพิธา เปิดบัญชีทรัพย์สินทันทีหลังจากที่ยื่น ป.ป.ช. โดยไม่ต้องรอให้ ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และส่วนตัวไม่เชื่อว่าทรัพย์มรดก จะมีแค่หุ้นนี้เท่านั้น
นายเรืองไกร ยืนยันด้วยว่าการยื่นตรวจสอบการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา ไม่ใช่เป็นกระบวนการปลุกผี ITV อย่างที่มีคนกล่าว และที่ดำเนินการอยู่นี้ทำคนเดียว ไม่คิดอะไรเกินเลย และหาก กกต.รับรองผลการเลือกตั้งแล้ว ก็จะมายื่นร้องเอาผิดต่อ นายพิธา อีกครั้ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคก้าวไกล ออกมากล่าวว่ามีขบวนการคืนชีพไอทีวี ตอบว่า “ผมหน้าตาเหมือนพ่อมดหมอผีไหม” พร้อมยืนยันว่าตนเองทำเรื่องนี้เพียงคนเดียว อันไหนที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรร้องก็ร้อง แต่ตนจะไม่ชี้นำสังคมก่อนมีกระบวนการการตัดสิน ส่วนการที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการรับไม้ต่อจากนักการเมือง นายเรืองไกรบอกว่า “ไปหาไม้ท่อนนั้นให้เจอก่อน แล้วค่อยมากล่าวหา”
สำหรับกรณีที่นายเรืองไกรถูกร้องตาม ม.143 นายเรืองไกร ระบุว่า ไม่สนใจ ขอไม่ให้ความเห็น ซึ่งรู้สึกคันๆ นิดหน่อย ส่วนที่ทนายรัชพล ศิริสาคร ไปแจ้งความเรื่องเอกสารเท็จ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็ขอให้แจ้งไป การแจ้งเท็จก็คงจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งตนไม่เคยเอาเอกสารเท็จมา และตนเองก็ไม่ใช่พวกหิวแสงด้วย ขอให้ไปหาวิธีที่ดีกว่านี้หน่อย