POLITICS

รังสิมันต์ แฉนายตำรวจ “ส.” ยศใหญ่ นอกราชการ วิ่งเต้นตัดชื่อ ส.ว.ทรงเอ ออกจากสำนวนคดี ‘ทุนมินลัด’

รังสิมันต์ แฉนายตำรวจ “ส.” ยศใหญ่มากนอกราชการ เป็นศูนย์กลางวิ่งเต้นตัดชื่อ ส.ว.ทรงเอ ออกจากสำนวนคดี ‘ทุนมินลัด’ ฟอกเงินนอกราชอาณาจักร เรียกร้อง ผบ.ตร. อสส. ศาลดำเนินคดีโปร่งใส ก่อนสร้างบาดแผลลึกขบวนการยุติธรรม

วันนี้ (13 มี.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นัดสื่อแถลงข่าวเรื่องการช่วยเหลือ ส.ว. ทรงเอ ให้รอดพ้นคดี ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดยระบุว่า วันนี้ไม่ต้องการยื่นหนังสือใดๆ แต่ต้องการแสดงออกให้ บก.ปส. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบในการติดตามดำเนินคดีผู้กระทำความผิดในคดียาเสพออกมาดำเนินการเรื่องนี้ หลังศาลถอนหมายจับ ส.ว.ท่านนี้ไปแล้วนานกว่า 162 วัน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดีใดๆ อีก กับ ส.ว.ทรงเอ แม้กระทั่งการออกหมายเรียกมาสอบสวน ทั้งที่พยานหลักฐานในการเอาผิดคือชุดเดียวกันกับที่เอาผิด ทุนมินลัต และเครือข่ายที่ถูกดำเนินคดีไปแล้ว สืบเนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 3 ดำเนินคดีของ ทุนมินลัด ที่ปรากฎข้อมูลชื่อ ส.ว.รายดังกล่าวเข้าไปพัวพันจนนำไปสู่การออกหมายจับ 2 ข้อหาคือ สมคบคิดกันเกี่ยวกับยาเสพติดฯ และฟอกเงินคดีนอกราชอาณาจักร พบว่ามีการถอนหมายจับเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนต้องการคำชี้แจงเพื่อต้องการคำตอบว่าเหตุใดการทำคดีของ ส.ว.รายนี้มีความล่าช้า เนื่องจากมีการถอนหมายจับไปเป็นเวลากว่า 162 วันแล้ว ตนเข้าใจว่าช่วงประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถออกหมายเรียกได้ แต่หลังประชุมเสร็จกลับไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งสิ้น แม้แต่หมายเรียกที่เป็นขั้นพื้นฐานของตำรวจในการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ

ส่วนตัวมองว่ากระบวนการของคดีนี้อาจมีการแทรกแซงหรือช่วยเหลือจาก นายตำรวจยศใหญ่มากนอกราชการ ระดับสูง อักษรย่อ “ส.” ที่เข้ามาพยายามช่วยเหลือพร้อมให้คำแนะนำเรื่องรูปคดี พร้อมระบุว่า เปรียบเป็นศูนย์กลางในการวิ่งเต้น เพื่อให้ ส.ว.ท่านนี้ ไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากโทษของพฤติการณ์ดังกล่าวสูงถึงขั้นประหารชีวิต เพราะผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งหน้าที่สมาชิกวุฒิสภามีโทษสูงกว่าประชาชน 2-3 เท่า จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ก่อนมาที่นี่ตนได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีหนังสือตอบกลับมาให้กับตนเป็นลายเซ็นของ ผบ.ตร.แล้ว

ในกรณีที่ตำรวจชุดจับกุมคดี ทุนมินลัด ถูกโยกย้ายจนทำให้คดีไม่มีความคืบหน้า เพราะต้องเสียตำรวจน้ำดีไปปฏิบัติราชการพื้นที่อื่น การโยกย้ายข้าราชการเหล่านี้ ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงเพราะมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด อีกทั้งมีข้อมูลว่า ส.ว. คนดังกล่าวที่ปรากฏในคดีเดียวกันนี้เชื่อมโยงกับพล.อ.ประยุทธ์ เพราะที่ทำการพรรคปัจจุบัน มีการเช่าพื้นที่ของ ส.ว.คนดังกล่าวเปิดเป็นสำนักงาน

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้มองว่าการทำหน้าที่ของตำรวจมีความบกพร่องในคดีทุนมินลัดซึ่งเป็นสำนวนคดีแรกที่ตำรวจปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แล้ว แต่สงสัยว่าทำไมถึงมีการถอนหมายจับชั้นตุลาการ ในส่วนนี้อาจมีการแทรกแซงของพนักงานสอบสวนหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ตนเคยยื่นต่อ สำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) แล้ว

ส่วนสำนวนคดีที่ 2 ขณะนี้ที่อยู่กับ บช.ปส. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบออกหมายเรียกหรือหมายจับ พบว่าติดขัด ทั้งที่หลักฐานอยู่ในสำนวนคดีแรกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องเส้นทางการเงินจากบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด มีความเชื่อมโยงไปยัง ส.ว. รายนี้ แต่กลับมีการอ้างว่าต้องแปลภาษาต่างประเทศจากบทสนทนาระหว่างผู้ต้องหา กับผู้ถูกกล่าวหา จำนวนมาก คดีจึงไม่มีความคืบหน้า ซึ่งนายรังสิมันต์ ยอมรับว่า ติดใจกับการดำเนินการของ บช.ปส.อย่างเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้สัปดาห์หน้า ตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องที่ คณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เอาผิดตุลาการทั้ง 3 ท่าน คือ อธิบดีศาลอาญา รองอธิบดีศาล และผู้พิพากษาเวร เรื่องมีการถอนหมายจับทันที หลังช่วงเช้าที่มีออกหมายจับ ด้วยเหตุผลอ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งตามประมวลกฎหมาย ป.วิอาญา ไม่ได้ระบุไว้

จากนั้นนายรังสิมันต์ได้เปิดป้ายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีทุนมินลัด ส.ว.ทรงเอ ประกอบด้วย ขบวนการค้ายา ฟอกเงินข้ามชายแดนไทยเมียนมา และข้อมูลการทำธุรกิจชายแดนที่ทำผ่าน ส.ว.

นอกจากนี้นายรังสิมันต์นำป้ายหาเสียง 2 แผ่นมาแสดง พร้อมกล่าวว่า วันนี้ที่ตนนำมามี 2 ป้าย ระบุข้อความว่า “นักการเมืองค้ายาจะหมดไป…ถ้าเลือกก้าวไกลเป็นรัฐบาล” ทั้งนี้ตนไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเสียงแต่ที่นำมาสองป้ายนี้มาเพื่อติดที่หน้าหน่วยงานและหวังว่าเนื้อหาดังกล่าวจะสามารถใช้ป้ายนี้เป็นป้ายเตือนใจว่าจะทำคดีเรื่องนี้ให้อย่างดีที่สุด

นางรังสิมันต์ ยอมรับว่า ตนที่อายุ 30 ปีรู้สึกกลัวที่จะถูกฟ้องกลับหลังออกมาเปิดเผยข้อมูลต่างๆ แต่ในวันนี้ตนในฐานะผู้แทนประชาชนอยู่ในหน้าที่ที่จะต้องตรวจสอบเอาเรื่องพวกนี้มาแฉ เพราะถ้าไม่นำมาเปิดเผยสังคมจะไม่รับรู้ ตนขอพูดกับตำรวจทุกท่านถ้าปิดบังช่วยกันล้มคดี พวกท่านก็ไม่ต่างอะไรกับคนชั่ว คนที่ค้ายา

ส่วนที่มาเปิดเผยตอนนี้เพราะข้อมูลทั้งหมดพร้อมตอนนี้ หากมองว่าเป็นการดิสเครดิตทางการเมือง ก็ขอให้ออกมาตอบโต้ให้ข้อมูลว่าของตนส่วนไหนไม่ถูกต้องบ้าง ถ้ามีสัญญาเช่าอาคาร สำนักงานก็ให้แสดง เปิดเผยให้สังคมรับรู้

พร้อมย้ำว่า ตำรวจและองค์กรตุลาการ จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้ได้รับความกระจ่าง แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับความจริงว่าคนในองค์กรทำเรื่องแบบนี้ แต่การช่วยเหลือกันจะสร้างบาดแผลระยะยาวในกระบวนการยุติธรรม การยอมรับความจริงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

Related Posts

Send this to a friend