‘ชัชชาติ’ ยันไม่เกี่ยวเหตุถูกร้อง เผย เป็นเรื่องเก่าเมื่อ 18 ปีก่อน ป.ป.ช.ชี้แล้ว ไม่มีมูลความผิด
วันนี้ (12 พ.ค.65) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 8 ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าโครงการร้านค้าปลอดอากร และโครงการจัดกิจกรรมเชิงพาณิชย์ และการประเมินมูลค่าความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการในสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวตนเองขดำรงตำแหน่งวิศวกรที่ปรึกษาของสถาบันทรัพย์สินทางปัญญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยให้ทำการศึกษาโครงการ เมื่อ 18 ปีก่อน
ต่อมาทราบภายหลังว่าโครงการถูกตรวจสอบโดย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผลปรากฎว่าไม่มีมูลความผิด และยุติกระบวนการการตรวจสอบไปตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ ป.ป.ช. ไม่เคยเชิญตนเองให้ข้อมูลหรือร่วมกระบวนการตรวจสอบ เนื่องจากไม่ใช่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมูลมูลค่า ทั้งนี้ หากคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมการสอบ ตนยินดีให้ความร่วมมือและพร้อมให้ข้อมูลเต็มที่
“ยินดีให้ กมธ.ป.ป.ช. ตรวจสอบ เรามั่นใจว่า โปร่งใส เรื่องผ่านไปประมาณ 18-19 ปีแล้ว เราไม่เกี่ยวกับการประเมินราคาใด ๆ เพราะเราไปในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา ภายหลัง ป.ป.ช. สรุปแล้วว่าไม่มีมูลและยุติเรื่องไปตั้งแต่ปี 54 เราไม่รู้รายละเอียด เพราะเราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เคยถูกเชิญไปสอบหรือให้ข้อมูล”
นายชัชชาติ กล่าวว่า ไม่รู้จัก อรรถสิทธิ์ กาญจนโอภาษ ผู้ร้อง เป็นการส่วนตัว และไม่ทราบว่าเจตนาที่แท้จริงของการยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ. ป.ป.ช.คืออะไร หากการกระทำของบุคคลใดที่มีจุดประสงค์ทางการเมือง หรือมีผลต่อความนิยมของผู้สมัครลดลง ถือว่าขัดต่อกฎหมายและมีผลทางอาญา ขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ ยืนยันว่าพร้อมเข้ากระบวนการตรวจสอบเพราะถือเป็นบุคคลสาธารณะ
ด้านฝ่ายงานกฎหมาย ชี้แจงว่า นายชัชชาติไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ เป็นเรื่องเก่าที่ยาวนานเกือบ 20 ปี และผ่านการตรวจสอบมาแล้วหลายครั้ง ยินดีพร้อมรับการตรวจสอบและเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการ เชื่อมั่นในความยุติธรรมของ กมธ.ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนนี้จงใจให้เป็นข่าวในช่วงที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ขออย่าให้เป็นการกลั่นแกล้งเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้สมัคร ซึ่งอาจผิดกฎหมายและมีโทษอาญา ที่สำคัญคือประชาชนต้องมีภูมิคุ้มกัน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง