‘เศรษฐา’ เชื่อกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกวิจารณ์ เพราะโดนใจประชาชน
ย้ำมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ใช่หยอดน้ำข้าวต้มไปวัน ๆ มั่นใจงบปี 67 ที่เหลือพอทำต่อ
วันนี้ (12 เม.ย. 66) เวลา 09:00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นายพานทองแท้ ชินวัตร ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย นำแกนนำและผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงตลาดมหาชัย และสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
ต่อมา เวลา 11:50 น. เข้าสักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ณ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม โดยพระสมุทรวชิรโสภณ เจ้าอาวาสวัดบ้านแหลม ได้มอบวัตถุมงคล และอวยพร นายเศรษฐา ว่า “กุศลเจตนาที่จะทำเพื่อประเทศชาติ ขอให้สำเร็จบรรลุผล ตามที่มุ่งมาดปรารถนา”
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 66) คณะกรรมการเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่กำลังจะออกมา หลังจากที่หักงบประจำงบเงินเดือน งบผูกพัน และงบใช้จ่ายหนี้เงินกู้ ยังเหลือวงเงินที่มาบริหารจัดการโครงการใดก็ได้ประมาณ 2 แสนล้านบาทนั้น จะเพียงพอต่อการบริหารจัดการนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า ไม่เป็นปัญหา คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยกำลังปรับเติมกัน เพราะรายได้ก็เป็นเรื่องสำคัญ แม้หลายภาคส่วนมีความเป็นห่วงที่จะได้ไม่คุ้มเสีย แต่มั่นใจว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายที่ถูกต้องและโดนใจประชาชน
พรรคเพื่อไทย สามารถหาเงินมาเติมได้ ภายใต้อัตราการเก็บภาษีเท่าเดิม ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล ซึ่งทีมเศรษฐกิจได้คิดถึงช่องทางการหาเงินงบประมาณไว้หมดแล้ว และไม่กระทบกับเรื่องค่าเงินบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องเงินสกุลอื่นๆ
นายเศรษฐา ยังกล่าวว่า ไม่ใช่ทางของตนเองเท่าไรที่จะไปเทียบกับคนอื่น แต่หลายพรรคการเมือง บางพรรคก็ให้ 700 บาท/เดือน/คน รวมเป็น 7-8 กว่าแสนล้านบาทแล้วเฉลี่ยไป 4 ปี การให้แบบนี้หยอดน้ำข้าวต้ม แต่ของพรรคเพื่อไทยเป็นการให้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ หลังประชาชนเดือดร้อนกันมานาน
นายเศรษฐา ระบุว่า ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มีหน้าที่เดินสายพบปะประชาชน และกระจายนโยบายให้ประชาชนรับทราบ พร้อมรับข้อคิดเห็นเพื่อนำมาปรับดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการประชาชน มั่นใจทุกนโยบายฝ่ายกฎหมายและทีมเศรษฐกิจ จะสามารถชี้แจงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ และไม่ขอมองว่า กกต. พุ่งเป้าเพื่อจะเอาผิดกับพรรคเพื่อไทย แต่ กกต. ทำตามหน้าที่ และพรรคก็พร้อมเคารพต่อการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ
เมื่อได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว นายเศรษฐา ยืนยันว่า จะสามารถเดินหน้านโยบายได้โดยไม่มีอุปสรรค และจะทันต่อที่เคยประกาศไว้ว่าจะเริ่มต้นนโยบายได้ทันทีต้นปี 2567 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประกาศรับรอง ส.ส. ด้วยว่าขั้นตอนดังกล่าวจะรวดเร็วเพียงใด
อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐา เชื่อว่า การที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้ อาจเป็นเพราะเป็นนโยบายที่โดนใจได้รับความสนใจจากประชาชนมาก และพรรคอื่นอาจจะกังวลใจที่เพื่อไทยออกนโยบายนี้ ซึ่งนั่นเป็นเพราะพรรคเพื่อไทย คิดใหญ่ ทำเป็น ทั้งนี้ ตลอดการหาเสียง หากยังถูกโจมตีเรื่องนี้อยู่ก็ไม่กังวล และเชื่อมั่นว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน หากมีผู้ถามทุกวัน ก็จะตอบทุกวัน