‘สมชัย’ ขีดเส้น 7 วัน กกต. ชี้ขาด รทสช. แจกเสื้อ – จัดรถฟังปราศรัย ‘ประยุทธ์’ ผิดหรือไม่
‘สมชัย’ ขีดเส้น 7 วัน กกต. ชี้ขาด รทสช. แจกเสื้อ – จัดรถบัสฟังปราศรัย ‘ประยุทธ์’ ผิดหรือไม่ มองเกม 2 ป. แยกกัน เพราะอัตตา เข้าทางฝ่ายที่สามแทน
วันนี้ (11 ม.ค. 66) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
นายสมชัย มองว่า หากส่วนตัวเป็นนายกรัฐมนตรี จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคที่จะต้องมาชี้แจงในเรื่องนี้ ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นแค่คนคนหนึ่ง ที่มาสมัครสมาชิกพรรคในวันนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดงาน ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าการจัดงานเป็นสิ่งที่ผิด เพราะมีแนวปฏิบัติของ กกต. อยู่ เพียงแต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลายเรื่อง มีโอกาสที่จะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ กกต. ต้องมาตอบคำถามให้ชัดเจน ได้แก่
1.การที่มีรถบัส รถตู้นับร้อยคัน ขนคนนับหมื่นคน มาฟังคำปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ กกต. ต้องออกมาตอบว่าทำได้หรือไม่ หากทำได้จะต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนในการหาเสียง หากทำไม่ได้ก็ถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นแล้ว
2.หากมีการจัดเลี้ยงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้สิ่งของ น้ำดื่ม กับคนที่มาร่วมงาน สามารถทำได้หรือไม่ เพราะอยู่ในช่วง 180 วัน ก่อนครบวาระ ซึ่ง กกต. เคยประกาศแล้วว่าต้องระมัดระวัง โดยกรณีอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(4)
3.หากมีการจ่ายเงินให้กับผู้มาร่วมงาน 300-500 บาท และการแจกเสื้อสีขาว สีแดง และสีน้ำเงิน ให้กับคนที่มาฟังปราศรัย โดยแบ่งเป็นโซนนั่งชัดเจน เป็นรูปธงชาติ คำถามคือแจกได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นใครไปฟังปราศรัยก็แจกของกันเต็มเลย ก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมา
4.คำปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจไปคาบเกี่ยวกับเรื่องสถาบันและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงเรื่องการนำศิลปินขึ้นมาแสดงบนเวที จะถือเป็นมหรสพหรือไม่
นายสมชัย ย้ำว่า จะรออีก 1 สัปดาห์เพื่อฟังคำตอบจาก กกต. ว่าทั้งหมดที่กล่าวมา สามารถทำได้หรือไม่ หากไม่ได้รับคำตอบจะไปทวงถามที่ สำนักงาน กกต. ด้วยตัวเองในวันที่ 18 ม.ค. 66 ซึ่งเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้คนไปร้อง กกต. สามารถหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบเองได้ และเชื่อว่า วันที่มึการนัดประชุม มีคนของ กกต. เข้าไปสังเกตการณ์และบันทึกภาพไว้ทั้งหมดแล้ว เพื่อนำส่งเรื่องไปที่ กกต. ให้ความเห็น
“ต้องตอบว่าทำได้ หรือทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่บอกว่าเขาคุยกันแล้ว อย่างที่ นายกฯ บอก เขาคุยกันแล้ว”
นายสมชัย มองว่า จนถึงวันนี้ กกต. ยังเงียบอยู่ ถือว่าผิดหวัง ต้องพูดให้ชัดว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ผิดหรือถูกก็ขอให้พูดมา
เมื่อถามว่า เรื่องที่กล่าวมา เรื่องใด เข้าข่ายมีความผิดมากที่สุด นายสมชัย ระบุว่า ขอไม่ตอบ แต่ทุกเรื่องอาจเข้าข่ายได้หมด พร้อมปฏิเสธตอบว่าหากพบความผิดจะถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ กกต. ต้องเป็นคนชี้แจง หากจะมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคต้องดูว่าใครเป็นคนกระทำ แต่อาจส่งผลถึงกรรมการบริหารพรรคและหาก กกต. เห็นว่าเข้าข่ายก็ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย
สำหรับความเห็นทางการเมือง กรณี พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีแยกกันตั้งพรรคการเมือง นายสมชัย มองว่า เป็นทางเดินของพรรคการเมือง ของ 2 ป. 2 นายพล ที่มองว่าการแยกกันเป็น 2 พรรคจะเป็นผลดี แต่ในทางเทคนิคแล้ว มองว่าภายใต้กติกา ส.ส.เขตจำนวน 400 เขต และมี ส.ส.บัญชีรายชื่อแค่ 100 คน ไม่ค่อยเอื้อประโยชน์กับการแยกเป็น 2 พรรค
“แทนที่เขาจะเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แย่งกันเอง แข่งกันเอง ก็จะได้คะแนนน้อยลง ฝ่ายที่ 3 แทนที่จะได้คะแนนน้อยกว่าคุณ พอคุณแบ่งกัน กลายเป็นว่าได้น้อยกว่าเขา”
นายสมชัย กล่าวต่อว่า การที่แยกออกเป็น 2 พรรคแบบนี้ มาจากอัตตา หรือความเชื่อมั่นในตัวเอง ความอยากได้ในเชิงการเมืองของตัวเองมากเกินไป จนไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ซึ่งหากประนีประนอมกันได้ก็คงไม่ยาก เพียงแค่เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 2 คน ซึ่งท้ายที่สุดผลการเลือกตั้งจะเป็นตัวบ่งบอกว่าวิธีการทำการเมืองแบบนี้เป็นวิธีที่ผิด