POLITICS

มงคลกิตติ์ เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ พร้อมรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมให้กองปราบเอาผิด

วันนี้ (10 ม.ค. 65) เวลา 11:00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (กองปราบ) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งมีผู้สนับสนุนมาร่วมงานเป็นจำนวนมากจนแน่นหอประชุม

“เป็นเรื่องดีที่พลเอกประยุทธ์เปิดตัวทางการเมือง และเข้าสังกัดพรรคในลักษณะแบบนี้ต่อสาธารณชน แต่ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา จะอยู่เพียงแค่ครบวาระอีก 2 ปีเท่านั้น เพราะเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีกลยุทธ์อยากได้ที่นั่งในสภาเพียงแค่ 25เสียง เพื่อรวมกับจำนวนของสวอีก 250 เสียงที่อาจสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในรัฐสภาเพื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ เหมือนครั้งที่ผ่านมา” นายมงคลกิตติ์ กล่าว

นายมงคลกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเปิดตัวร่วมกับพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ ก็ได้เปรียบพรรคอื่นอยู่แล้วทั้งพรรคเล็กและใหญ่ เพราะมีจำนวน ส.ว.อยู่ในมือถึง 250 เสียง

ทั้งนี้ นายมงคลกิตติ์ ยืนยันว่าหลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดตัวเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้งใหม่ จะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการเลือกตั้งของพรรคไทยศรีวิไลย์ เพราะเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไปจนครบวาระให้ดีที่สุด และจะไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเพื่อให้ได้คะแนนหรือจำนวนที่นั่งของ ส.ส.อย่างแน่นอน

นายมงคลกิตติ์กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ตนได้ตั้งใจรวบรวมหลักฐานไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามมาตรา 152 ในประเด็นบริษัทของหลานนายกฯ ว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจจีนและนายตู้ห่าว ที่กำลังถูกดำเนินคดีเครือข่ายทุนจีนสีเทาตอนนี้หรือไม่

นายมงคลกิตติ์ กล่าวถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่ได้เปิดโปงหลักฐานเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทาตั้งแต่แต่แรก จนนายตู้ห่าวและพวกถูกดำเนินคดี ว่า ยินดีหากนายชูวิทย์จะนำหลักฐานดังกล่าวมาให้ตนเองเพิ่มเติมว่าเชื่อมโยงกับบริษัทหลานของนายกฯ หรือไม่อย่างไร
เพราะเมื่อวานนายชูวิทย์ได้ไปดักรอที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติศิริกิตติ์ จนได้เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ ถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว

นายมงคลกิตติ์ ยืนยันว่า หากหลักฐานเพียงพอ เพื่อที่จะเอาผิดกับหลานนายกฯ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวในฐานฟอกเงินฯ ตนก็จะเข้าแจ้งความที่กองปราบอย่างแน่นอน ซึ่งกำลังให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมหลักฐานและพิจารณาก่อนเข้าแจ้งความเอาผิด

“เนื่องจากตอนนี้ผมมีข้อมูลหลักฐานที่อาจจะเกี่ยวข้อง เพราะรถบัสที่ได้มาของบริษัทหลานนายกไม่ได้เสียภาษีตั้งแต่เมื่อครั้งที่ตนเองยื่นดำเนินคดีขสมก.เมื่อครั้งตอนประมูลรถเมล์ NGV แล้ว ซึ่งเมื่อเกิดการซื้อขายก็ต้องตรวจสอบว่าใครเป็นคนซื้อ อยู่ในการครอบครองของใคร และจะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน” นายมงคลกิตติ์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend