‘วิโรจน์’ เชื่อปมรถบรรทุกตกบ่อ เป็นส่วยสติ๊กเกอร์ รู้สึกตลก หลังตำรวจตอบสติ๊กเกอร์มีไว้เพื่อให้จำรถได้ง่าย
‘วิโรจน์’ เชื่อปมรถบรรทุกตกบ่อ เป็นส่วยสติ๊กเกอร์ รู้สึกตลก หลังตำรวจตอบสติ๊กเกอร์มีไว้เพื่อให้จำรถได้ง่าย ปกป้องหลักฐานไว้ไม่ได้ มีตำรวจเสียชีวิตเซ่นส่วยสติกเกอร์แล้ว 2 คน หากปกป้องคนผิดอีกถือว่าไม่รักศักดิ์ศรี
วันนี้ (9 พ.ค. 66) ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีแผ่นปูนปิดหน้าถนนทรุดจากรถบรรทุกขนดิน บริเวณถนนสุขุมวิท เมื่อวานนี้ ว่า จากข้อมูลของสมาพันธ์การขนส่งทางบกมีข้อสงสัยว่าสติ๊กเกอร์ที่ติดบริเวณกระจกหน้ารถบรรทุกคันเกิดเหตุ อาจจะเป็นสติ๊กเกอร์ส่วย นั้น พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผู้กำกับ สน.พระโขนง จะต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ ตนเองเข้าใจว่าผู้กำกับการตำรวจนครบาลก็ได้ลงมากำกับด้วยตนเองแล้ว เพราะเป็นประเด็นนี้ไม่ใช่แค่รถบรรทุกน้ำหนักเกินแล้ว
นอกจากนี้ วิศวกรที่ดูแลบ่อในโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้านครหลวง คงไม่ได้ออกแบบให้แผ่นปูนปิดหน้างาน รองรับรถบรรทุกที่มีการสั่นสะเทือนด้วย ดังนั้นจึงกระทบผู้ใช้ยวดยานบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก และหากเราติดตามข่าวจะพบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เริ่มมีข่าวถนนทรุดตัวเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าได้มีการชี้แจงเรื่องสติ๊กเกอร์ดังกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทรับเหมา นายวิโรจน์ กล่าวว่า ฟังไม่ขึ้น เมื่อสักครู่ตนเองได้ฟังคำสัมภาษณ์ของผู้กำกับ สน.พระโขนงที่ระบุว่า สติ๊กเกอร์ติดเอาไว้เพื่อให้คนขับแยกรถออกว่าจอดตรงไหน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าปกติคนขับรถสามารถจำรถของตัวเองได้อยู่แล้ว หากจะออกแบบก็ควรออกเป็นสติกเกอร์คาดกันแดดได้ดีกว่า แต่ออกเป็นรูปดาว B กลางกระจก รบกวนทัศนวิสัยการขับขี่ด้วยซ้ำ ตนเองเชื่อว่าเจตนาเอาไว้ให้ใครสักคนที่เตี๊ยมเอาไว้ มองเห็นได้ง่าย จึงตั้งคำถามกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 5 และ ผู้กำกับ สน.พระโขนงว่าคนที่เตี๊ยมกันไว้เป็นข้าราชการตำรวจหรือไม่ ระดับไหน และมีการจ่ายส่วยหรือไม่
“ถ้าติดเพื่อให้จำรถตัวเองได้ง่าย ผมว่ามันตลกมาก ประชาชนก็รับไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจ รู้อยู่เต็มอก ขึ้นอยู่กับว่าจะสอบหรือไม่แค่นั้น” นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนการที่ตำรวจออกมาชี้แจงแทนสามารถตั้งข้อสงสัยได้หรือไม่ว่าตำรวจอุ้ม นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้เจ้าของจะอ้างว่าตัวอักษร B ย่อมาจากชื่อ เสี่ยบิ๊ก แต่ตนเองคิดว่าตำรวจก็ต้องตั้งคำถามว่าเสี่ยบิ๊ก คือใคร มีการจ่ายผลประโยชน์กันหรือไม่ แต่ส่วนตัวเห็นว่ามีการตัดตอนคำตอบเร็วเกินไป จึงมองเป็นอย่างอื่นได้ลำบาก
ขณะเดียวกัน ก็เข้าใจว่ามีการบ่ายเบี่ยงของคนขับรถที่ไม่ยอมชั่งน้ำหนักตัวรถ และน้ำหนักดินที่ขน จึงขอตั้งคำถามว่าหากเป็นตำรวจระดับผู้กำกับ และผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 หากไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริง และรักษาพยานวัตถุสำคัญที่จะพิสูจน์ ว่าบรรทุกน้ำหนักเกินหรือไม่ ตนเองเชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคงต้องพิจารณาว่าต้องหาบุคคลที่เหมาะสมมาทำงานแทนหรือไม่
“ขนาดยังไม่ไปจับใคร แค่ปกป้องพยานวัตถุสำคัญ หลายคนก็ตั้งคำถามว่าปล่อยให้เขาขนดิน แล้วไปเทในไซต์งานได้อย่างไร…เข้าใจ แต่มันคือของกลาง เราควรเก็บพิทักษ์รักษา แต่ไม่ใช่ให้เขาไปขนและทิ้งในไซต์งาน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่ออีกว่า ยังมีข้อมูลว่ามีรถขนดินอีก 2 คันพยามขนดินเข้าไปในซอยสุขุมวิท 64/2 พอมีประชาชนร้องไปเสียงเซ็งแซ่ จึงเข้าไปดู ซึ่งรถขนดินทั้ง 2 คันที่ขนดินก็มีสติกเกอร์ดาว B สีเขียวทั้ง 2 คัน จึงฟังไม่ขึ้นว่าสติ๊กเกอร์มีไว้สำหรับจัดลำดับรถบรรทุก เพราะหากจะดลำดับต้องมีเลข เช่น B01 B02 B03 แต่ว่ามีสติ๊กเกอร์ตัว B ที่พยามส่งสัญลักษณ์ถึงใคร ตนเองย้ำว่าตำรวจจะทิ้งประเด็นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยต้องสอบตำรวจหน้างานปล่อยคนมายุ่งเกี่ยวหลักฐานได้อย่างไง
นายวิโรจน์ ย้ำอีกว่าเรื่องส่วยเป็นเรื่องใหญ่และน่าเศร้ามาก เพราะมีตำรวจเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน หากตำรวจยังมีเรื่องส่วยอีกก็ถือว่าไม่รักศักดิ์ศรีตำรวจ
“ปีหนึ่ง ส่วยมีมูลค่า 2 หมื่นล้าน แสดงว่าตำรวจไม่ได้เรียนรู้บทเรียนเลย ถ้ายังมีเรื่องส่วยอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้รักศักดิ์ศรีของตำรวจจริงๆ เลย ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องสอบให้สิ้นข้อสงสัย” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่ออีกด้วยว่า ล่าสุดมีข้อมูลว่าเจ้าของรถ ยังไม่ยอมให้ชั่งน้ำหนักดิน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าสามารถคาดคะเนได้ในเบื้องต้นว่าน้ำหนักอาจจะเกิน คำนวณคร่าวๆ ได้ว่ารถที่ขนดินมาอยู่ราว 30-40 ตัน ยังไม่รวมตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 9-11 ตัน ตนเองเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากที่น้ำหนักจะเกิน และตัวรถอาจมีการดัดแปลงเพื่อบรรทุกน้ำหนักเกินอีก จากที่กฎหมายกำหนดไว้ 25 ตัน
นายวิโรจน์ กล่าวว่าขณะนี้ตำรวจ สน.พระโขนงเปิดเผยว่ายังไม่ได้มีการจับกุมเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกินแต่อย่างใด แต่ประชาชนก็เห็นรถบรรทุกคลุมผ้าใบเข้ามาในพื้นที่ โดยเข้าใจว่ามีการเร่งรัดการก่อสร้างหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง ผู้ว่าฯ กทม. จะต้องกำชับว่าการปล่อยให้รถบรรทุกที่น้ำหนักเกินเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีการขุดหลุมเพื่อนำสายไฟฟ้าลงดินจำนวนกว่า 700 แห่ง ที่พร้อมจะทรุดตัวได้ตลอด เวลา หากตกลงไปก็เสียชีวิตแน่นอน และเป็นเรื่องที่ต้องเสียใจกับเจ้าของรถแท็กซี่ที่ขับตามมา ชนกับแผ่นคอนกรีตจนได้รับความเสียหาย เพลาหน้าขาด ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ จึงเรียกร้องให้การไฟฟ้านครหลวงออกมารับผิดชอบก่อน แล้วค่อยไปตามไล่บี้กับบริษัทรถบรรทุก หากพบว่าน้ำหนักเกิน
ส่วนการคาดการณ์ว่าจะมีการจ่ายส่วยในหน่วยงานใดบ้างนั้น นายวิโรจน์ มองว่ามีหลายหน่วยงานเยอะไปหมด เช่น เจ้าหน้าที่ด่านชั่งบางคนบางราย ตำรวจทางหลวงบางคนบางนาย หรือเจ้าหน้าที่ของ กทม. บางคนบางนายด้วย ตำรวจท้องที่ ตำรวจจราจรกลาง บางคนบางนาย ตนเองไม่ได้เหมารวมทั้งองค์กร แต่จะต้องมีการสอบสวนหรือสังคายนากันยกใหญ่เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเสนอแนะว่าควรตั้งด่านชั่งบนทางหลวงก่อนที่จะเข้ามายังกรุงเทพมหานคร และหวังว่าจะมีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
“เวลากวดขันก็ดำเนินคดีกับคนที่สุจริตแต่พลั้งพลาดในการดำเนินตามกฎหมาย แต่รายใหญ่ที่ขนเกิน 20 ตัน 30 ตันปล่อยฉลุย ซึ่งด้วยความสามารถของตำรวจหากเห็นสภาพรถ สภาพหิน สภาพทรายก็จะรับรู้อยู่แก่ใจว่ารถต้องสงสัยเป็นคันไหน แต่ไปจับรถที่ผิดพลาดผิดเผลอดำเนินคดีก็จะเกิดการลักลั่นและยังเกิดปัญหาการเรียกตบทรัพย์อีก” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นภัยต่อสาธารณะมองว่าเรื่องนี้ควรเป็นวาระสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกิน แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องปฏิรูปตำรวจด้วย ขอส่งสารไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าการจะรักษาโรคอะไรได้นั้น จุดเริ่มต้นจะต้องยอมรับว่าป่วยเป็นโรคนั้นจริงๆ และไปหาหมอให้ถูกโรค ซึ่งวันนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาบรรทุกน้ำหนักเกินแต่ยังเป็นปัญหาในแวดวงตำรวจ และการตั้งข้อสงสัยขาดความไว้ใจจากประชาชน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยสาธารณะ และเรียกร้องไปยังการไฟฟ้านครหลวงที่ก็ต้องตรวจสอบโครงสร้างท่อ 700 จุด มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหนด้วย