ผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน หารือ ‘ก้าวไกล’ ช่วยหาแนวทางสนับสนุนการประกอบอาชีพ
’ผู้ประกอบการธุรกิจภาคกลางคืน’ เข้าหารือ ‘ก้าวไกล’ ช่วยหาแนวทางสนับสนุนการประกอบอาชีพ ด้าน ’ปกรณ์วุฒิ’ ชี้ ต้องแก้ไข พ.ร.บ.สถานบริการ – กฎกระทรวงมหาดไทย ให้ชัดเจน ลดปัญหาเรื่องส่วย มอง นโยบายสุราก้าวหน้า เป็นทางเลือกให้กับประชาชน
วันนี้ (9 มิ.ย. 66) กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจภาคกลางคืน เข้าหารือตัวแทนพรรคก้าวไกล นำโดย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เพื่อขอให้รัฐบาลก้าวไกล ช่วยหาแนวทาง และสนับสนุนการประกอบอาชีพของกลุ่มธุรกิจภาคกลางคืน
ภายหลังจากการประชุมหารือกว่า 2 ชั่วโมง นายปกรณ์วุฒิ ได้แถลงผลการประชุมหารือกับสื่อมวลชน โดยระบุว่า ภายหลังจากที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วยรถบรรทุก ตนเองได้พูดคุยกับธุรกิจภาคกลางคืน ซึ่งตนคิดว่า หลายคนคงทราบดีอยู่แล้ว ว่าธุรกิจกลางคืนกับเรื่องส่วยอยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน และเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังไม่จบ
สำหรับการพูดคุยหารือกันในวันนี้ ได้ทราบถึงปัญหาเรื่องส่วยของสถาบริการ ผับบาร์ว่าเกิดจากเรื่องใบอนุญาตของสถานบริการ ที่ทุกวันนี้ขอใบใหม่ไม่ได้แล้ว และปัญหาเรื่องพื้นที่โซนนิ่งในการเปิดสถานบริการใน กทม. มีน้อยลงมาก ดังนั้นการจะขอใบอนุญาตเปิดสถานบริการใหม่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จึงทำให้เกิดสถานบริการจำนวนมากไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง นำไปสู่ช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเรียกรับผลประโยชน์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวไม่ได้มีแค่ตำรวจเท่านั้น แต่บางรายอาจจะต้องจ่ายส่วยถึง 3 หน่วยงาน หรือมากกว่านั้น เพราะการขอใบอนุญาตมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีปัญหาความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ในเรื่องของเวลาในการปิดสถานบริการแต่ละแห่ง ทำให้เกิดช่องว่างในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานที่จะมาเรียกรับผลประโยชน์จากสถานบันเทิง ทั้งๆ ที่หลายร้านทำถูกต้องทุกอย่างด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเรียกรับผลประโยชน์อยู่ และหลายๆ ที่ ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหากพวกเขาปฏิเสธการจ่ายส่วยไปจะเจอกับความเสี่ยงอะไรบ้าง จึงจำยอมที่จะต้องจ่ายส่วยเหล่านี้ต่อไป
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า จาการประชุมในวันนี้ สิ่งที่จะแก้ปัญหาเบื้องต้น คือการแก้ไข พ.ร.บ.สถานบริการ ให้ทันสมัย และชัดเจน รวมถึงการแก้กฎกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับเวลาเปิด-ปิดของสถานบริการในแต่ละประเภทให้ชัดเจน และในระยะยาว ผ่านนโยบายของพรรคก้าวไกลการกำหนดโซนนิ่งในพื้นที่ต่างๆ โดยให้อำนาจแต่ละท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดโซนนิ่งเอง ให้เข้ากับบริบทในแต่ละพื้นที่สอดคล้องกัน และมีการตัดสินใจผ่านกลไกลการมีส่วนร่วมของประชาชน
นอกจากนี้ ในเรื่องของสถานบันเทิง จะต้องมีการเพิ่มบทลงโทษ และการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่างๆ ต่อสังคม เช่น การพิจารณาการเพิ่มโทษเมาแล้วขับ การเพิ่มบทลงโทษของสถานบริการที่ปล่อยให้มีเยาวชนเข้าใช้บริการ รวมถึงความปลอดภัยในการสร้างสถานบริการต่างๆ ทั้งความจุของผู้ใช้บริการ และวัสดุที่ใช่ในการก่อสร้างสถานบริการ
ทั้งนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า จากที่ตนเองทำเรื่องธุรกิจสถานบริการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาชีพสถานบริการเป็นการประกอบอาชีพที่สุจริต และประกอบอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงอยากให้ประชาชนทำความเข้าใจในส่วนนี้ พร้อมยกตัวอย่างนโยบายสุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล ที่เคยถูกบางส่วนของสังคมตั้งคำถามว่า การออกนโยบายดังกล่าวสนับสนุนให้คนติดสุราใช่หรือไม่ โดยนายปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่า ไม่ใช่การสนับสนุน เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน และให้ภาคธุรกิจออกจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า และกระจายรายได้สู่ชุมชน
อีกทั้ง ยังต้องมีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นกรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนายปกรณ์วุฒิ ตั้งข้อสงสัยว่า ที่ผ่านมาหากเราทำให้มียี่ห้อสุราเพิ่มขึ้น แต่โฆษณาไม่ได้ แตกต่างจากนายทุนที่โฆษณาเป็นน้ำดื่มหรือโซดาได้ จะไม่ส่งผลอะไรกับการผลักดันสุราก้าวหน้าเลย ซึ่งการห้ามโฆษณาอย่างเข้มงวดขนาดนี้ไม่ได้ช่วยอะไรให้การดื่มสุราลดลง เพราะสถิติที่ผ่านมาก็จะตอบให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าการลดการบริโภค และอุบัติเหตุจากการห้ามโฆษณาได้จริงหรือไม่
นอกจากนี้จะต้องมีการพูดคุยกันในประเด็นเรื่องการห้ามจำหน่ายสุราในวันพระใหญ่ในความเห็นที่แตกต่างหลากหลายทั้งจากมุมผู้ประกอบการที่มองว่าตัวเองเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องโอบรับความหลากหลายกับเรื่องความเชื่อของชาวพุทธในเรื่องนี้ และลดผลกระทบต่างๆ จากการทะเลาะวิวาทในการดื่มสุรา เมาแล้วขับ และการบาดเจ็บของร่างกาย เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ผมคิดว่าการโฆษณาได้ การมีเหล้าเบียร์หลายยี่ห้อกับการเมาแล้วขับ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในเชิงตรงกันอย่างแน่นอน ฉะนั้นควรศึกษาว่าเราจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใด และหยุดการแก้ปัญหาด้วยการลิดรอนสิทธิของผู้อื่น ในการประกอบอาชีพ และมาหาทางออกร่วมกันในการลดผลกระทบของสังคมร่วมกัน” นายปกรณ์วุฒิกล่าว