‘กกต.’ ขอให้ดูที่การปฏิบัติหน้าที่ ปมเปลี่ยนสโลแกนใหม่ ไร้คำว่าโปร่งใส
‘กกต.’ ขอให้ดูที่การปฏิบัติหน้าที่ ปมเปลี่ยนสโลแกนใหม่ ไร้คำว่าโปร่งใส เผยคำร้อง ‘พิธา’ ถือหุ้นไอทีวี ยังอยู่ในขั้นพิจารณารับคำร้อง
วันนี้ (9 มิ.ย.66) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้สัมภาษณ์ภายหลังแถลงสรุปผลงาน เนื่องในวันครบรอบ 25 ปี วันคล้ายวันสถาปนา สำนักงาน กกต. ถึงการนับคะแนนใหม่ใน 47 หน่วยเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 มิ.ย.66 ระบุว่า ประชาชนสามารถร่วมสังเกตการณ์ได้ โดยทางสำนักงาน กกต.จะบันทึกภาพและวิดีโอไว้ทุกขั้นตอน เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ส่วนกระแสข่าวเรื่องสโลแกนที่มีการเผยแพร่ว่าเปลี่ยนจาก “สุจริต เที่ยงธรรม และโปร่งใส” เป็น “สุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย” นายแสวง ชี้แจงว่า ความโปร่งใสรวมอยู่ในคำว่า “สุจริต เที่ยงธรรม” แล้ว อยากให้มองสิ่งที่ กกต.ปฏิบัติหน้าที่ว่า ทำตัวสมควรหรือมีเกียรติหรือไม่ ความโปร่งใสดูได้ 2 อย่างคือ เห็นได้ด้วยตา ประชาชนสามารถไปร่วมสังเกตการณ์ในหน่วยเลือกตั้ง และบันทึกภาพได้ตลอด ส่วนความโปร่งใสอีกอย่างคือ เรามีระบบการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง หากเราเดินหน้าแบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริต และเที่ยงธรรม
ทั้งนี้กรณีที่ถูกสังคมมองว่า การสั่งให้นับคะแนนใหม่เป็นเหมือนการดึงเกมทางการเมือง นายแสวง ชี้แจงว่า นับแต่เราได้เลือกตั้งในช่วงเดือน พ.ค. และมีการประกาศผลคะแนนอย่างเป็นทางการจากคะแนนแต่ละเขตรวบรวมมา เราไม่ได้หยุดนิ่ง และตระหนักดีว่าประชาชนต้องการทราบผล แม้กฎหมายให้เวลาทำงาน 60 วัน แต่การทำงานของ กกต.ได้เร่งรัดเพื่อเสนอให้ กกต.พิจารณาภายในสัปดาห์หน้าตามแผนงาน โดยจะพิจารณาจากกลุ่มว่าที่ ส.ส. ที่ไม่เรื่องร้องเรียน และมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเวลาที่ควรจะเป็น
เมื่อถามถึงคำร้องให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายแสวง กล่าวว่า เรื่องนี้มีปัญหาทางเทคนิคอยู่ เพราะผู้ร้องมาร้องก่อนวันเลือกตั้ง 2 วัน ซึ่งกรณีมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ต้องร้องภายใน 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง สำนักงาน กกต.ก็ต้องพิจารณา ว่าสิ่งที่ร้องมีเหตุหรือมีมูลที่จะดำเนินการต่อไปหรือไม่ เพื่อเสนอให้ กกต.พิจารณา และกกต.มีความเห็นว่าให้ทำให้รอบคอบ และเสนอขึ้นไปใหม่ ส่วน กกต. จะรับไว้พิจารณาหรือไม่เป็นอีกประเด็น และถ้ารับแล้ว จะผิดหรือถูก ก็เป็นอีกประเด็น ดังนั้นเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของสำนักงาน กกต.
ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการดำเนินการข้อหารู้อยู่แล้ว ว่าไม่มีสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. แต่ยังลงรับสมัคร ตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส นายแสวง กล่าวว่า เรื่องการมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร หากเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ต้องส่งศาลฎีกาวินิจฉัย แต่หลังเลือกตั้งก่อนการประกาศผลยังเป็นช่องโหว่อยู่ สำนักงาน กกต.คิดว่า หากมีการยื่น จะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งสามารถทำคดีอาญาตามมาตรา 151 ได้ ส่วนถ้าประกาศรับรองผลไปแล้ว การให้พ้นจาก ส.ส. ก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 คือสมาชิกรัฐสภา 1 ใน 10 เข้าชื่อ เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ กกต. ก็สามารถยื่นได้ แต่เราต้องมีพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง
เมื่อถามย้ำว่า ขณะนี้ กกต.กำลังพิจารณาควบคู่ ระหว่างคดีอาญาตามมาตรา 151 และคดีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าคดีคุณสมบัติยังพิจารณาไม่ได้ ตอนนี้พิจารณาได้เฉพาะคดีอาญา ตามมาตรา 151 แต่คดีคุณสมบัติยังทำไม่ได้ เพราะยังไม่เป็น ส.ส. ทั้งนี้ตามคำร้องร้องว่า ไม่มีคุณสมบัติในการลงสมัคร ส.ส. เพราะมีลักษณะต้องห้าม ที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่มีคุณสมบัติก็จะไปสู่ข้อหารู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ แต่ยังลงสมัคร ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 151 แต่เรื่องของการพ้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งตอนนี้ยังเป็นอนาคตที่มาไม่ถึง ต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน เพราะพ้นในช่วงการยื่นของศาลฎีกามาแล้ว กกต.ไม่มีอำนาจไม่ประกาศ แต่สามารถพิจารณาคดีอาญาได้