‘ปิยบุตร’ ชี้ ยิ่งยุบพรรค ยิ่งโตหนึ่งเท่าตัว ชวน สส.พรรคร่วมรัฐบาล โหวตแก้ พ.ร.ป. พรรคการเมือง

วันนี้ (7 ส.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวปราศรัย ที่ลานพรรคก้าวไกล ว่า ประสบการณ์ตั้งแต่อนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล จนตอนนี้ก็จะแสดงเห็นแล้วว่ายุบพรรคอนาคตใหม่ 6.3 ล้านเสียง กลายเป็นพรรคก้าวไกล 14.4 ล้านเสียง เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์แล้ว มีการเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว และเมื่อมีการยุบพรรคครั้งนี้ ก็จะได้สูงเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ดังนั้น การยุบพรรค แน่นอนที่สุดว่าพวกเราเจ็บปวด ประชาชนที่เลือกมาเจ็บปวด ประชาชนเสียดายว่ามีนักการเมืองที่ดี มีคุณภาพ ต้องถูกเตะออกนอกสนามอีกแล้ว แต่ตนเองเชื่อเหลือเกินว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ของตนเองที่อยู่ในพรรคก้าวไกล เขาก็จะเดินหน้าต่อไปยังยานพาหนะแห่งใหม่อย่างแน่นอน แล้วเขาจะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้น คำวินิจฉัยในวันนี้ ถามว่ากระทบกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ บอกไปว่าสิว ๆ นิด ๆ เพราะใช้เวลาไม่กี่วัน ก็คงกลับมาตั้งตัวได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่อันตรายไปกว่านั้น คำวินิจฉัยฉบับนี้ พูดเรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การยุบพรรคในประเทศนี้ เกือบสองทศวรรษที่ผ่านมามีผู้ประสบเหตุเภทภัยจำนวนมาก แต่ในอดีตตั้งแต่ยุบพรรครักไทย พรรคพลังประชาชน โดนข้อหาประเด็นเล็กน้อย คือ เรื่องทางกฎหมาย การทุจริตการเลือก การจ้างวานพรรคเล็ก แล้วมาเขียนโยงเพื่อเป็นเหตุการพรรคการเมือง แต่ในพ.ศ. นี้ ไม่รู้ว่าจะเรียกพัฒนาการ หรืออพัฒนาการ เขายุบพรรคกันไม่เอาข้อหาเล็กน้อยแบบเดิมแล้ว เขาจะเอาเรื่องล้มล้างการปกครอง
พรรคไทยรักษาชาติเป็นพรรคแรก ที่ถูกยุบในข้อหาทำการอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เป็นหนึ่งข้อหาเท่านั้น พรรคก้าวไกลโดนสองข้อหา ทั้งล้มล้าง ทั้งอาจเป็นปฏิปักษ์ คือพัฒนาการของการยุบพรรคในประเทศไทย ไม่อายกันอีกแล้วไม่เขินไม่กระมิดกระเมี้ยน ไม่ต้องหาเหตุแจกใบเหลืองใบแดง ไม่ต้องยึดอำนาจ และออกประกาศมาตัดสินนักการเมืองย้อนหลัง ก็เอามันตรง ๆ แบบนี้ ว่าพรรคการเมืองถูกยุบ เพราะล้มล้างการปกครอง
การเสนอแก้ไขมาตรา 112 เอานโยบายไปรณรงค์หาเสียงนั้น ถือเป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมให้ตนเอง เป็นการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาข้องเกี่ยวในแวดวงการเมือง พี่น้องที่รักทั้งหลายเคยเห็น สส. พรรคก้าวไกลคนไหนโหนเจ้าหรือไม่ มีแต่เชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สูงเด่นเป็นสง่า ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับพรรคการเมืองแล้ว เห็นพรรคอื่นทำหรือไม่ บางพรรคไปกันใหญ่ ว่าลงเลือกตั้งมาปกป้องสถาบัน แต่พรรคนั้นได้คะแนนนิดเดียว จึงขอถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ใครเอาประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมากันแน่
ตนเองแต่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายคณะนิติศาสตร์ จนกระทั่งลาออกมาตั้งพรรคแล้วถูกยุบ จากผู้สังเกตการณ์ วิจารณ์การยุบพรรคทุกครั้ง ก็มาโดนเสียเอง ตนเองถูกกล่าวหามาทั้งชีวิต เกือบสองทศวรรษ ว่าเป็นคนมีความคิดรุนแรง สุดโต่ง ตนเองยืนยันทุกครั้งมาโดยตลอด ว่า ประเทศไทย ต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ต่อไป ไม่ขาดสาย ถามกี่ครั้งก็พูดทุกครั้ง แต่ฝ่ายตรงกันข้าม จะพยายามวาดภาพให้ตนเองเป็นปีศาจร้ายทุกครั้ง
พรรคก้าวไกลเสนอแก้ ม. 112 เพราะเล็งเห็นแล้วว่า การใช้กฎหมายแบบนี้ เป็นเครื่องมือกันไปเรื่อย ๆ จะกระทบกระเทือนถึงสถาบัน พรรคก้าวไกล อาสาเข้าไปแก้ไขแบบนี้แล้วกลายเป็นว่าล้มล้างอย่างไร
ตราบใดที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มีแรงกาย มีแรงใจ มีแรงสมองต่อไป แม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ใช้ความพยายามทุกวิถีทาง ในการรักษาสิ่งสำคัญของบ้านเมืองเราทั้ง 2 สิ่งนี้ไปพร้อม ๆ กัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความชอบธรรมทางจารีตประเพณี ตามประวัติศาสตร์ของชาติไทย อีกอย่างคือความชอบธรรมแบบโลกสมัยใหม่ นั่นคือหลักการประชาธิปไตย หลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ยืนยันว่า ต้องมีสองสิ่งนี้อยู่ด้วยกัน วันนี้กำลังถึงเส้นทางแตกแยกทางความคิดของพี่น้องประชาชน แล้วคำวินิจฉัยแบบนี้เกิดขึ้นมา จะยิ่งส่งผลให้ประชาชน เกิดอาการร้องเอ๊ะมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะจัดการปัญหาเรื่องนี้อย่างไร การใช้อำนาจปิดปากคนเห็นต่าง กดคนไม่ให้พูด แต่คนยังคิดจะให้ทำอย่างไร วิธีการที่ถูกต้อง ตนเองเชื่อว่า ตนเอง และเพื่อนพ้องน้องพี่มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองนี้ ต้องการให้สถาบันดำรงอยู่ต่อไป ต้องการให้ ประเทศไทยมีประชาธิปไตยเทียบอารยะประเทศ แล้วคนแบบนี้ล้มล้างการปกครองตรงไหน
นายปิยบุตร ถามอีกว่า แล้วคนที่นำรถถังออกมา ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเขียนกฎหมายด้วยตัวเอง คนแบบนี้ต่างหาก ที่ล้มล้างการปกครอง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอำนาจบ้านเมืองหมดเลย กลายเป็นเรื่องกับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง คนต้องการรักษาระบอบปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องประชาธิปไตย ดันกลายเป็นคนล้มล้างการปกครอง ส่วนคนที่นำมาอาวุธ ใช้ความรุนแรง ยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยตัวเอง แล้วสืบทอดอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีต่อด้วยตัวเอง คนแบบนี้ กลายเป็นคนไม่ล้มล้างการปกครอง กลายเป็นคนรักษาระบอบการปกครอง
“ในจิตใจของพวกเรา ตั้งแต่อนาคตใหม่ ยันก้าวไกล พรรคการเมืองเหล่านี้ ไม่ได้มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า เราจะทำให้ชีวิตประชาชนปากท้องดี จำเป็นต้องได้ 2 ใบอนุญาต คือใบอนุญาตจากพี่น้องประชาชน ต้องเลือกกันเข้ามา เพื่อบอกว่าเราคือรัฐบาล ที่มาจากพี่น้องประชาชน ที่ได้รับฉันอนุมัติมา แต่ประเทศนี้พิสดารกว่านั้น เพราะต้องได้รับใบอนุญาตจากชนชั้นนำด้วย ซึ่งเราจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตที่คือเสียงจากประชาชนอย่างถล่มทลายเพียงอย่างเดียว ยิ่งมีเยอะเท่าไหร่ เขาก็ขวางการออกใบอนุญาตใบที่สองไม่ได้
นายปิยบุตร ระบุว่า การยุบพรรคครั้งนี้ต้องการอะไร เขาต้องการสกัดการตรวจสอบของรองประธานสภาคนที่หนึ่ง การทำหน้าที่ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเราจะทำตรงกันข้าม เราจะเดินหน้าตรวจสอบ และทำงานให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ
ถ้าพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ก็รวมพลังการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง จัดการการยุบพรรคออกไป ฝากสิ่งนี้ สส. ที่เคยโดนยุบพรรค ตั้งแต่พรรคไทยรักษาชาติ เป็นผู้ประสบเหตุอยู่พรรครุ่นแรก รวมพลังกัน แทนที่จะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ก็แสดงออกอย่างพร้อมเพรียงกัน สส. ทุกพรรคการเมืองโหวต ให้ได้ 500 เสียง เพื่อยกเลิกการยุบพรรคการเมือง
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คือประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้า การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะขวางความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จะรู้ว่าขวางไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหนังม้วนเก่าวนรอบแบบนี้ อาจรู้สึกท้อแท้ผิดหวัง แต่ทุกวงจรที่วงรอบแบบนี้ มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เชื่อว่าครั้งนี้ จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศตาสว่างทั้งแผ่นดิน
นายปิยบุตร กล่าวท้ายว่า ขอให้อดทนไว้ แสดงออกกันเต็มที่ว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค แสดงออกกันเต็มที่ว่าสนับสนุนพรรคต่อไป แล้วอดทนไว้ ปี 2570 รวมพลังกัน โหวตพรรคต่อไปให้เกิน 300 เสียง ให้เกิน 20 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อเอาใบอนุญาตใบแรกมา แล้วให้ใบอนุญาตที่สองหนีไม่พ้น ต้องให้พรรคนี้เป็นรัฐบาลให้ได้