‘นายกฯ’ ชู 3 แนวทาง เปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
‘นายกฯ’ ปาฐกถา หัวข้อนโยบายและทิศทางการพัฒนาตลาดทุนของไทย ยัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดทุน ชู 3 แนวทาง เปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
วันนี้ (7 ธ.ค. 66) ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในงานสัมมนาแถลงยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ประจำปี 2567 และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อนโยบาย และทิศทางการพัฒนาตลาดทุนของไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดทุนของไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาตลาดทุนของไทยเผชิญกับปัญหาระยะสั้น และสถานการณ์ของโลกทั้งในและนอกประเทศ หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาดทุนแล้วพบว่ามีความแข็งแกร่งระยะยาว และมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ว่าจะเป็นจากมูลค่าหลักทรัพย์ซึ่งติดอันดับที่ 27 ของโลก และตลาดของเรายังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน อีกทั้งมีมูลค่าเสนอขายหุ้น IPO สะสมย้อนหลังกับสภาพคล่องที่สูงที่สุดในอาเซียนนับตั้งแต่ปี 2555
“วันนี้รัฐบาลเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ทั้งด้านดิจิทัลและด้านความยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลกระทบ ทั้งต่อระบบตลาดทุน ระบบเศรษฐกิจ และแน่นอน สุดท้าย ก็จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ความยั่งยืนส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ การจัดตั้ง Thailand ESG Fund หรือ กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน เนื่องด้วยภาคเอกชนภาครัฐของประเทศไทย มีจุดเด่นในเรื่องเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ดัชนีความยั่งยืนในระดับสากลจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งภาครัฐเองก็มีพันธบัตรสีเขียว ส่วนอนาคตจะมีการระดมทุนไปดำเนินกิจกรรมต่าง ๆมากมายทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ดังนั้น ภาครัฐจึงเห็นความเห็นชอบ Thailand ESG Fund ที่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ร่วมทุนไปทำสิ่งที่ดีให้กับสังคม และผู้มีเงินออมที่ได้ผลตอบแทนระยะยาวควบคู่กับการส่งเสริม ESG ของประเทศด้วย
สำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าจะมี บลจ. ที่เสนอขายกองทุน ThaiESG จำนวน 16 บลจ. และจำนวนกองทุน รวม 25 กองทุน สร้างเม็ดเงินในการระดมทุนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนที่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี ไม่น้อยกว่า 100,000 บัญชี และคาดว่าจะ ส่งผลให้เกิดนักลงทุนหน้าใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพิ่มขึ้นในบ้านเราอีกด้วย
นายเศรษฐา ระบุว่า โลกปัจจุบันให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยตลาดทุนไทยมีบทบาทสำคัญ เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ทั้งผ่านการยกระดับช่องทางระดมทุน และการบริการให้กับภาคธุรกิจและประชาชน ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ก.ล.ต. จึงได้รับนโยบายและได้ยกระดับ โดยปรับโครงสร้างองค์กร และเพิ่มส่วนงานในสายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินมาใช้ในตลาดทุน ซึ่งผมทราบว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของแผนยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ของ ก.ล.ต.
นอกจากนี้ รัฐบาลได้เห็นชอบในหลักการ ที่จะลดอุปสรรคที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำทางภาษี ซึ่งถ้าแก้ได้ก็จะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเท่าเทียมยิ่งขึ้น ลดภาระแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ออกและเสนอขาย รวมทั้งผู้ลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และยังเป็นการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการระดมทุนผ่าน investment token เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลมีแนวทาง 3 ข้อที่จะเสริมสร้างจุดแข็งของตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนและสร้างความเติบโตกับ เศรษฐกิจโดยรวมในระยะหน้าต่อไป
แนวทางแรก ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านการผลักดันให้ตลาดทุนไทย เป็น investment destination ของภูมิภาค ซึ่งจะเพิ่มการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยรัฐบาล จะเดินหน้าเร่งเจรจาและขยาย Free Trade Agreement (FTA) เปิดตลาดใหม่ๆ และสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศทางยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ให้กับผู้ลงทุนต่างประเทศ ผ่าน ease of doing business รัฐบาลจะดำเนินการนำเสนอข้อมูลการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ผ่าน Road show เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
แนวทางที่สอง คือ การ shift focus สู่ความยั่งยืน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนทุกภาคส่วน เพื่อเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainability Development Goals หรือ SDGs และเป้าหมายของประเทศไทย ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2608 โดยรัฐบาล จะดำเนินการส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยพัฒนากลไกให้ภาคธุรกิจ มีเงินทุนเพียงพอในการเปลี่ยนผ่าน สู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและมีเงินทุน เพื่อปรับตัวให้พร้อมรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมต่อไป
นอกจากนี้ ภาครัฐบาลเองจะดำเนินการผลักดันนโยบายการกระตุ้นตลาดตราสารหนี้สีเขียว หรือ Green Bond Market การระดมทุนเพื่อสนับสนุน SDGs และนโยบายการจัดหาเงินทุนที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงกลไกการเงินสีเขียว หรือ green finance mechanism โดยได้ตั้งเป้าการออก และเสนอขายตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน หรือที่เรียกว่า “Sustainability-Linked Bond” ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อให้องค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินนโยบายที่สร้างความยั่งยืน และการจัดทำThailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมการเติบโต และการลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
แนวทางที่สาม คือ การสนับสนุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล SMEs และ Startups เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เติบโตและขยายต่อไปได้ในระดับโลก
สำหรับด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ภาครัฐและเอกชนจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และในส่วน SMEs และ Startups ภาครัฐจะมีการพัฒนากลไกช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดหาเงินทุนตลอดจนการเปิดตลาด
“แนวทางของรัฐบาลดังที่กล่าวมาเป็นส่วนที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการในภาคตลาดทุน โดยรัฐบาลมีความหลากหลายในนโยบาย ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าทุกอย่างรวมกันแล้วจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย