POLITICS

กพช.เห็นชอบนำเงิน Take or Pay แหล่งก๊าซฯ เมียนมา 1.36 หมื่นล้าน ช่วยลดค่า Ft ให้ ปชช.

ที่ประชุมกพช. เห็นชอบนำเงิน Take or Pay แหล่งก๊าซฯ เมียนมา 1.36 หมื่นล้านบาท ลดค่า Ft ช่วยปชช.ช่วงโควิด-19

วันนี้ (6 ม.ค. 65) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัตโหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม โดยที่ประชุมมีมติในประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

1.เห็นชอบการจัดสรรผลประโยชน์บัญชี Take or Pay แหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา โดยให้นําเงินผลประโยชน์ของบัญชีดังกล่าว ณ วันที่ 30 พ.ย. 64 จํานวน 13,594 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินการ คืนภาครัฐทั้งหมด เพื่อไปช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ Ft โดยนําส่งเงินและลดราคาค่าก๊าซธรรมชาติให้กับ กฟผ. เพื่อลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด19  โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว

2.เห็นชอบหลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG สำหรับกลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำหรับสัญญาระยะยาวและ/หรือสัญญาระยะกลาง ได้เป็น 3 รูปแบบ คือ 1) สมการในรูปแบบเส้นตรงที่อ้างอิงราคาน้ำมัน 2) สมการในรูปแบบเส้นตรงที่อ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ และ 3) สมการในรูปแบบ Hybrid ซึ่งอ้างอิงทั้งราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และมีจุดหักมุม โดยจะนำเสนอกพช. เพื่อพิจารณาต่อไป และมอบหมายให้ กกพ. เป็นผู้กำกับดูแลและพิจารณาในรายละเอียดของหลักเกณฑ์ราคา LNG Benchmark สำหรับกลุ่ม Regulated Market ต่อไป

3.เห็นชอบโครงการนำร่องการตอบสนองด้านโหลดปี 2565-2566 50 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน , กกพ. , กฟผ. , กฟภ. และ กฟน. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการนำร่องการตอบสนองด้านโหลดให้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมขยายผลตามแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทยระยะปานกลาง พ.ศ. 2565 – 2574 เพื่อให้เกิดการพัฒนาการใช้งานการตอบสนองด้านโหลดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า และสามารถนำการตอบสนองด้านโหลด มาทดแทนโรงไฟฟ้าในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ตามแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดในประเทศไทย ในระยะปานกลาง ปี 2565 – 2574 รวมถึงรองรับพลังงงานหมุนเวียนตามเป้าหมายแผนพลังงานชาติ

Related Posts

Send this to a friend