วิโรจน์‘ ดักคอ รัฐบาล เอานโยบายรัฐบาล ‘ประยุทธ์’ มาปัดฝุ่น เคลมเป็นผลงานตัวเอง
’วิโรจน์‘ ดักคอ รัฐบาล เอานโยบายรัฐบาล ‘ประยุทธ์’ มาปัดฝุ่น เคลมเป็นผลงานตัวเอง ชี้ ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของรัฐบางพลเอกประยุทธ์
วันนี้ (4 เม.ย. 67) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) ว่า คำแถลงต่อนโยบายของรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ส่วนหนึ่งของเนื้อความที่พูดถึงกองทัพ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ให้คำมั่นกับประชาชนไว้ว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ และลดจำนวนนายพลลง มีการปรับปรุงกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างยึดอุปกรณ์ของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้สอดคล้องกับรูปแบบความเสี่ยงของภัยคุกคามในปัจจุบัน และอนาคต
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือในวันนั้นนายกฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะเอาพื้นที่ที่เกินจำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่นายเศรษฐาพูดอย่างสวยหรูว่า การพัฒนากองทัพร่วมกัน แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นเป็นการสมยอมกับกองทัพในการปรุงแต่งตบตาประชาชน เอานโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ”ทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ“ และใช้คำโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่า นี่คือการปฏิรูปกองทัพแล้ว
นายวิโรจน์ ตั้งคำถามว่า การดำรงอยู่ของกองทัพมีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และประชาชน หรือความมั่นคง มั่งคั่งของผู้ที่มีอำนาจในการเสพสุขจากกองทัพ ที่มีการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นกันแน่ หากไม่หลอกตัวเองจนเกินไปจะรู้ว่า ปัจจุบันกองทัพดำรงอยู่ในฐานะรัฐซ้อนรัฐ สามารถเกณฑ์เอาลูกเอาหลานของประชาชนไปใช้งาน เอาเงินที่ซื้ออาวุธจากภาษีของพี่น้องประชาชน และใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการสถาปนาอำนาจอิสระให้กับตนเอง ให้สามารถต่อรองกับรัฐบาลที่มีที่มาจากประชาชนได้
พ.ร.บ.ระเบียบราชการกลาโหม พ.ศ.2551 รวมถึง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับนี้เป็นผลพวงที่มาจากการรัฐประหารในปี 2549 ทั้งสิ้น ถ้าเราเชื่อว่ากองทัพมีไว้เพื่อ ความมั่นคงของประเทศ และประชาชนการปฏิรูปกองทัพ จะทำให้กองทัพมีความโปร่งใสประชาชน มีความไว้เนื้อเชื่อใจในภารกิจทางการทหาร และจะทำให้กองทัพสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การปฏิรูปกองทัพไม่ใช่การทำลายกองทัพหรือด้อยค่ากองทัพ เหมือนที่นายสุทินเคยให้สัมภาษณ์เมื่อหลายวันก่อนและไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาพูด แต่การปฏิรูปกองทัพเป็นกระบวนการที่ให้ความสัมพันธุ์กับประชาชนดีขึ้น ถ้าไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของกองทัพประชาชนจะตั้งแง่ทันที” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หากปล่อยพฤติกรรมเช่นนี้ ไว้เรื่อยๆ ไม่คิดว่าภาพลักษณ์ของกองทัพจะยกต่ำลง อาจจะทำให้กองทัพทำงานได้อย่างยากลำบาก และในท้ายที่สุดก็จะมีกลุ่มก้อนทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่สวยโอกาสจากอคติของประชาชนไปตบทรัพย์ ไปต่อรองเอาผลประโยชน์จากงบประมาณของกองทัพ และได้รับสายข่าวจาก ทร. จึงอยากถามว่า เรือฟริเกต วงเงิน 17,000 ล้านบาท มีการต่อสายจะคุยกับ ทร. ด้วย แต่ศักดิ์ศรีทหารเรือลูกปลาดู่ เค้าไม่คุยด้วย สุดท้ายก้อแรก 1,700 ล้านยอมเหลือเพียง 850 ล้าน แต่ก็ไม่ได้ให้เขา ทั้งๆ ที่เป็นคุณูประการของอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และวิศวกรรมการต่อเรือของประเทศไทย ที่คนไทยสูญเสียผลประโยชน์จากมหาศาล เพราะ ทร. ถือศักดิ์ศรีของเขา มองหน้ากรมหลวงชุมพรฯ แล้วไม่ยอมไปคุยกับใครบางคนของรัฐบาล
ถ้ากองทัพไม่ส่งเงินทอนให้ก็จะตัดงบประมาณของกองทัพอย่างนั้นหรือ ทั้งทั้งที่โกงการของกองทัพมีความจำเป็น แต่สุดท้ายถ้ากองทัพไม่โปร่งใสก็จะถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาความลึกลับดำมืดภายในกองทัพมาเป็นชนักปักหลัง ซึ่งกองทัพจะทำอย่างไรจะใช้สงครามข้อมูลข่าวสารกับประชาชนหรือไม่ ยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หมดแล้ว ประชาชนเขาไม่เชื่อ ส่วนคนที่ตาสว่าง เขาจะรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก “จากรักสุดๆ ก็จะกลายเป็นเกียรติสุดขั้ว จากเคยที่เชื่อหมดใจ ก็จะกลายเป็นระแวงทุกย่างก้าว จากตาที่สว่างแล้วจะไม่ยอมกลับมืดบอดอีก” ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมาและความโปร่งใสเท่านั้นที่จะสามารถปฏิสังขรณ์ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกองทัพกับประชาชนขึ้นมาใหม่ได้
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตนเองมี 5 เรื่องจะสะท้อนให้นายกฯ และ รมว. กลาโหมได้ทราบ ประกอบด้วย เรื่องการปรับลดกำลังพล แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะประโคมข่าวความสำเร็จของการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย จากปี 2566 ที่มีอยู่ 10,156 นาย อยู่ที่ 49.3 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดูที่ยอดออนไลน์อย่างเดียวมันเพิ่มขึ้น แต่มันคนละเรื่องกับการปรับลดกำลังพล และการรับสมัครแบบออนไลน์ ก็เป็นนโยบายที่ทำมาตั้งแต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์เมื่อปี 2564 ซึ่งถ้าการสมัครแบบออนไลน์จะเป็นกลไกในการยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้จริง เมื่อรวมเอาสองยอดทั้งการสมัครแบบ walk in มารวมยอดสมัครแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน จำนวนยอดสมัครรวมควรเพิ่มมากขึ้น แต่พยว่ายอดสมัครรวมมีแนวโน้มลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ จึงมองว่าเป็นนโยบาย ลุงตู่อยู่ต่อชัดๆ และไม่มีทางที่จะนำไปสู่การยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ เป็นการหลอกลวงตบตาประชาชนโดยเอายอดออนไลน์เท่านั้นมานำเสนอ
สิ่งที่รัฐบาลทำนี้ทำอยู่ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพลในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราความต้องการจริง และการลดอัตรากำลังพลที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ๆ แต่กำลังเป็นการเล่นละครหลอกลวงตบตาประชาชน เพื่อซื้อเวลาการปฏิรูปกองทัพออกไป ถ้าจะปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง กระดุมเม็ดแรกคือการปรับปรุงโครงสร้างภายในหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม ควบรวม และยกเลิก หน่วยงานที่ซ้ำซ้อน และประเมินภัยคุกคามและบริบทของความมั่นคงในยุคใหม่ เอาภารกิจของหน่วยงานมากาง โดยเฉพาะกำลังพลที่เป็นทหารราบ เพราะบริบทของโลกยุคใหม่ความต้องการในการใช้พลทหารราบ ลดลงในทุกประเทศอยู่แล้ว และเอาภารกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการทหารออกจากระบบทั้งหมด
หากรัฐบาลเร่งปรับลดยอดพลทหารลงอยู่ในระดับที่จำเป็น นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอที่จะปรับปรุงสวัสดิการ และทำสัญญาจ้างทหารอาชีพแบบระยะยาว 4-5 ปีได้ และการที่ได้พลทหารเข้ามาอย่างสมัครใจจะทำให้การฝึกและการทำภารกิจมีประสิทธิภาพ การบังคับหรือเกณฑ์อย่างที่เป็นอยู่มีแต่จะทำให้เผชิญปัญหาในรูปแบบต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาสุขภาพจิต และปัญหายาเสพติด รวมถึงการจัดจับใบดำใบแดงทำให้แรงงานสูญเสียรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 134.5 ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตกปีนึงอยู่ที่ 57,000 ล้านบาท จึงตั้งคำถามว่าการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจไม่ดีตรงไหน
“ถ้ารัฐบาลนี้ยังปาหี่การลดอัตรากำลังพล แบบพลเอกประยุทธ์ ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ โดยทำการตลาดว่าเป็นของใหม่ที่ยอดเกณฑ์ทหารลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 คน ประเทศของเราต้องใช้ระยะเวลาอีกกว่า 20 ปี ถึงจะปลอดจากพลทหารรับใช้ เผลอเผลออาจจะเกิดรัฐประหารขึ้นก่อนด้วยซ้ำ”
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การมีพลทหารมากมายเป็นเพราะแรงผลประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงนายพลที่หากินจากการบังคับเกณฑ์ทหาร ที่มีกลุ่มสัสดีเอาใบ สด.43 ปลอมมาขาย และมีความเสียหายสูงมาก ส่วนที่ไปฝึกทหารในค่าย ก็สามารถยกเงินเดือนให้กับนายพล รวมความเสียหายอยู่ที่ 5 พันล้านต่อปี จากการประเมินของ กมธ.ทหารฯ
นอกจากนี้เรื่องการปรับลดจำนวนนายพล เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้หลอกประชาชนไม่แตกต่างกัน ที่บอกว่าในปี 2570 จะมีการลดจำนวนนายพลกว่าร้อยละ 50 หากอ่านข่าวดีๆ จะเห็นว่า ไม่ใช่การลดนายพลครึ่งหนึ่ง แต่เป็นการลดจำนวนนายพลที่เกินจำเป็น หรือที่เรียกว่า ”นายพลตบยุง“ ที่ไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจน ให้น้อยกว่า 300 นาย จึงตั้งคำถามว่านายพลที่เกินจำเป็นควรที่จะเป็นศูนย์เลยหรือไม่ จะปรับให้น้อยกว่า 300 นายเพื่ออะไร เพราะหากไม่ทำอะไรเลยจำนวนนายพลก็จะลดลงอยู่แล้ว เนื่องจากโรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่รุ่นที่ 23 ถึงรุ่นที่ 24 มีอัตราการรับนักเรียนนายร้อยที่ลดลง เป็นการฉกฉวยเอาโอกาสของจำนวนนักเรียนเตรียมทหารที่น้อยลงมาเคลมผลงาน
อีกทั้งเรื่องของที่ดินราชพัสดุ ที่ครอบครองโดยกองทัพกว่า 12 ล้านไร่ ที่ดินบางส่วนถูกนำไปใช้ในสวัสดิการทางธุรกิจเช่น การทำสนามกอล์ฟ 60 แห่ง สถานพักตากอากาศ 10 แห่ง สนามมวยอีกหนึ่งแห่ง ขาดความโปร่งใส ไม่มีการระบุว่ามีการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์หรือไม่ หรือมีการทำบัญชีอย่างถูกต้องหรือไม่ มีเพียงการรายงานกำไรเพียง 70 – 80 ล้านบาทต่อปี หากทำธุรกิจแล้วได้กำไรน้อยขนาดนี้จะทำไปเพื่ออะไร โดยที่ที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐา ก็พยายามที่จะเอาที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ตั้งชื่อใหม่สวยหรูว่า โครงการธนารักษ์เพื่อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล ซึ่งไม่ใช่โครงการใหม่อะไรเลยเพราะทำมาอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2547 ในชื่อโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ และเปลี่ยนชื่อในปี 2562 เป็นโครงการธนารักษ์ประชารัฐ ที่รูปแบบโครงการเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการเอาโครงการของพลเอกประยุทธ์มาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ
“ผมยืนยันว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ คิดจะแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างจริงจัง จะต้องจัดหางบประมาณในการเร่งรัดกระบวนการพิสูจน์ ไม่ใช่หลอกให้ประชาชนมาสละสิทธิ์การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ และเช่าที่ดินของตัวเองแบบนี้ และเอาที่ดินที่เกินจำเป็นของกองทัพส่งคืนให้กับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาจัดสรรให้กับท้องถิ่น” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่กล้าสั่งการทางนโยบายต้องมาขอร้องกองทัพให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงขอยืนยันว่าตราบใดที่นายสุทิน เป็น รมว.กลาโหมอยู่ อนาคตของธุรกิจ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศมีแต่มืดมน ” พอกันทีกับการเล่นละครตั้งชื่อซีรี่ย์ว่าการพัฒนาร่วมกัน แต่ละครแบบนี้หวังมาให้ได้ซึ่งคะแนนเสียงการเลือกตั้งไม่ได้อีกแล้ว “ประชาชนเขากินข้าว เขาเลิกกินช็อคมิ้นแล้ว”
”รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย นี่ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และถ้านายสุทิน กับนายเศรษฐา ยังคงฝืนทำแบบนี้ต่อไป ก็จะจะยิ่งทำให้ประชาชนที่ถูกหลอก รู้สึกไม่ไว้วางใจกองทัพ และไม่เป็นผลดีต่อการจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ“ นายวิโรจน์ กล่าว
’วิโรจน์‘ ดักคอ รัฐบาล เอานโยบายรัฐบาล ‘ประยุทธ์’ มาปัดฝุ่น เคลมเป็นผลงานตัวเอง ชี้ ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของรัฐบางพลเอกประยุทธ์
วันนี้ (4 เม.ย. 67) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) ว่า คำแถลงต่อนโยบายของรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ส่วนหนึ่งของเนื้อความที่พูดถึงกองทัพ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ให้คำมั่นกับประชาชนไว้ว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ และลดจำนวนนายพลลง มีการปรับปรุงกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างยึดอุปกรณ์ของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงกลาโหมให้โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้สอดคล้องกับรูปแบบความเสี่ยงของภัยคุกคามในปัจจุบัน และอนาคต
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือในวันนั้นนายกฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะเอาพื้นที่ที่เกินจำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่นายเศรษฐาพูดอย่างสวยหรูว่า การพัฒนากองทัพร่วมกัน แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นเป็นการสมยอมกับกองทัพในการปรุงแต่งตบตาประชาชน เอานโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ”ทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ“ และใช้คำโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่า นี่คือการปฏิรูปกองทัพแล้ว
นายวิโรจน์ ตั้งคำถามว่า การดำรงอยู่ของกองทัพมีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และประชาชน หรือความมั่นคง มั่งคั่งของผู้ที่มีอำนาจในการเสพสุขจากกองทัพ ที่มีการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นกันแน่ หากไม่หลอกตัวเองจนเกินไปจะรู้ว่า ปัจจุบันกองทัพดำรงอยู่ในฐานะรัฐซ้อนรัฐ สามารถเกณฑ์เอาลูกเอาหลานของประชาชนไปใช้งาน เอาเงินที่ซื้ออาวุธจากภาษีของพี่น้องประชาชน และใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการสถาปนาอำนาจอิสระให้กับตนเอง ให้สามารถต่อรองกับรัฐบาลที่มีที่มาจากประชาชนได้
พ.ร.บ.ระเบียบราชการกลาโหม พ.ศ.2551 รวมถึง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับนี้เป็นผลพวงที่มาจากการรัฐประหารในปี 2549 ทั้งสิ้น ถ้าเราเชื่อว่ากองทัพมีไว้เพื่อ ความมั่นคงของประเทศ และประชาชนการปฏิรูปกองทัพ จะทำให้กองทัพมีความโปร่งใสประชาชน มีความไว้เนื้อเชื่อใจในภารกิจทางการทหาร และจะทำให้กองทัพสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การปฏิรูปกองทัพไม่ใช่การทำลายกองทัพหรือด้อยค่ากองทัพ เหมือนที่นายสุทินเคยให้สัมภาษณ์เมื่อหลายวันก่อนและไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาพูด แต่การปฏิรูปกองทัพเป็นกระบวนการที่ให้ความสัมพันธุ์กับประชาชนดีขึ้น ถ้าไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของกองทัพประชาชนจะตั้งแง่ทันที” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หากปล่อยพฤติกรรมเช่นนี้ ไว้เรื่อยๆ ไม่คิดว่าภาพลักษณ์ของกองทัพจะยกต่ำลง อาจจะทำให้กองทัพทำงานได้อย่างยากลำบาก และในท้ายที่สุดก็จะมีกลุ่มก้อนทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่สวยโอกาสจากอคติของประชาชนไปตบทรัพย์ ไปต่อรองเอาผลประโยชน์จากงบประมาณของกองทัพ และได้รับสายข่าวจาก ทร. จึงอยากถามว่า เรือฟริเกต วงเงิน 17,000 ล้านบาท มีการต่อสายจะคุยกับ ทร. ด้วย แต่ศักดิ์ศรีทหารเรือลูกปลาดู่ เค้าไม่คุยด้วย สุดท้ายก้อแรก 1,700 ล้านยอมเหลือเพียง 850 ล้าน แต่ก็ไม่ได้ให้เขา ทั้งๆ ที่เป็นคุณูประการของอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และวิศวกรรมการต่อเรือของประเทศไทย ที่คนไทยสูญเสียผลประโยชน์จากมหาศาล เพราะ ทร. ถือศักดิ์ศรีของเขา มองหน้ากรมหลวงชุมพรฯ แล้วไม่ยอมไปคุยกับใครบางคนของรัฐบาล
ถ้ากองทัพไม่ส่งเงินทอนให้ก็จะตัดงบประมาณของกองทัพอย่างนั้นหรือ ทั้งทั้งที่โกงการของกองทัพมีความจำเป็น แต่สุดท้ายถ้ากองทัพไม่โปร่งใสก็จะถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาความลึกลับดำมืดภายในกองทัพมาเป็นชนักปักหลัง ซึ่งกองทัพจะทำอย่างไรจะใช้สงครามข้อมูลข่าวสารกับประชาชนหรือไม่ ยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หมดแล้ว ประชาชนเขาไม่เชื่อ ส่วนคนที่ตาสว่าง เขาจะรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก “จากรักสุดๆ ก็จะกลายเป็นเกียรติสุดขั้ว จากเคยที่เชื่อหมดใจ ก็จะกลายเป็นระแวงทุกย่างก้าว จากตาที่สว่างแล้วจะไม่ยอมกลับมืดบอดอีก” ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมาและความโปร่งใสเท่านั้นที่จะสามารถปฏิสังขรณ์ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกองทัพกับประชาชนขึ้นมาใหม่ได้
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตนเองมี 5 เรื่องจะสะท้อนให้นายกฯ และ รมว. กลาโหมได้ทราบ ประกอบด้วย เรื่องการปรับลดกำลังพล แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะประโคมข่าวความสำเร็จของการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย จากปี 2566 ที่มีอยู่ 10,156 นาย อยู่ที่ 49.3 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดูที่ยอดออนไลน์อย่างเดียวมันเพิ่มขึ้น แต่มันคนละเรื่องกับการปรับลดกำลังพล และการรับสมัครแบบออนไลน์ ก็เป็นนโยบายที่ทำมาตั้งแต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์เมื่อปี 2564 ซึ่งถ้าการสมัครแบบออนไลน์จะเป็นกลไกในการยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้จริง เมื่อรวมเอาสองยอดทั้งการสมัครแบบ walk in มารวมยอดสมัครแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน จำนวนยอดสมัครรวมควรเพิ่มมากขึ้น แต่พยว่ายอดสมัครรวมมีแนวโน้มลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ จึงมองว่าเป็นนโยบาย ลุงตู่อยู่ต่อชัดๆ และไม่มีทางที่จะนำไปสู่การยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ เป็นการหลอกลวงตบตาประชาชนโดยเอายอดออนไลน์เท่านั้นมานำเสนอ
สิ่งที่รัฐบาลทำนี้ทำอยู่ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพลในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราความต้องการจริง และการลดอัตรากำลังพลที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ๆ แต่กำลังเป็นการเล่นละครหลอกลวงตบตาประชาชน เพื่อซื้อเวลาการปฏิรูปกองทัพออกไป ถ้าจะปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง กระดุมเม็ดแรกคือการปรับปรุงโครงสร้างภายในหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม ควบรวม และยกเลิก หน่วยงานที่ซ้ำซ้อน และประเมินภัยคุกคามและบริบทของความมั่นคงในยุคใหม่ เอาภารกิจของหน่วยงานมากาง โดยเฉพาะกำลังพลที่เป็นทหารราบ เพราะบริบทของโลกยุคใหม่ความต้องการในการใช้พลทหารราบ ลดลงในทุกประเทศอยู่แล้ว และเอาภารกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการทหารออกจากระบบทั้งหมด
หากรัฐบาลเร่งปรับลดยอดพลทหารลงอยู่ในระดับที่จำเป็น นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอที่จะปรับปรุงสวัสดิการ และทำสัญญาจ้างทหารอาชีพแบบระยะยาว 4-5 ปีได้ และการที่ได้พลทหารเข้ามาอย่างสมัครใจจะทำให้การฝึกและการทำภารกิจมีประสิทธิภาพ การบังคับหรือเกณฑ์อย่างที่เป็นอยู่มีแต่จะทำให้เผชิญปัญหาในรูปแบบต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาสุขภาพจิต และปัญหายาเสพติด รวมถึงการจัดจับใบดำใบแดงทำให้แรงงานสูญเสียรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 134.5 ของมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตกปีนึงอยู่ที่ 57,000 ล้านบาท จึงตั้งคำถามว่าการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจไม่ดีตรงไหน
“ถ้ารัฐบาลนี้ยังปาหี่การลดอัตรากำลังพล แบบพลเอกประยุทธ์ ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ โดยทำการตลาดว่าเป็นของใหม่ที่ยอดเกณฑ์ทหารลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 คน ประเทศของเราต้องใช้ระยะเวลาอีกกว่า 20 ปี ถึงจะปลอดจากพลทหารรับใช้ เผลอเผลออาจจะเกิดรัฐประหารขึ้นก่อนด้วยซ้ำ”
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การมีพลทหารมากมายเป็นเพราะแรงผลประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงนายพลที่หากินจากการบังคับเกณฑ์ทหาร ที่มีกลุ่มสัสดีเอาใบ สด.43 ปลอมมาขาย และมีความเสียหายสูงมาก ส่วนที่ไปฝึกทหารในค่าย ก็สามารถยกเงินเดือนให้กับนายพล รวมความเสียหายอยู่ที่ 5 พันล้านต่อปี จากการประเมินของ กมธ.ทหารฯ
นอกจากนี้เรื่องการปรับลดจำนวนนายพล เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้หลอกประชาชนไม่แตกต่างกัน ที่บอกว่าในปี 2570 จะมีการลดจำนวนนายพลกว่าร้อยละ 50 หากอ่านข่าวดีๆ จะเห็นว่า ไม่ใช่การลดนายพลครึ่งหนึ่ง แต่เป็นการลดจำนวนนายพลที่เกินจำเป็น หรือที่เรียกว่า ”นายพลตบยุง“ ที่ไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจน ให้น้อยกว่า 300 นาย จึงตั้งคำถามว่านายพลที่เกินจำเป็นควรที่จะเป็นศูนย์เลยหรือไม่ จะปรับให้น้อยกว่า 300 นายเพื่ออะไร เพราะหากไม่ทำอะไรเลยจำนวนนายพลก็จะลดลงอยู่แล้ว เนื่องจากโรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่รุ่นที่ 23 ถึงรุ่นที่ 24 มีอัตราการรับนักเรียนนายร้อยที่ลดลง เป็นการฉกฉวยเอาโอกาสของจำนวนนักเรียนเตรียมทหารที่น้อยลงมาเคลมผลงาน
อีกทั้งเรื่องของที่ดินราชพัสดุ ที่ครอบครองโดยกองทัพกว่า 12 ล้านไร่ ที่ดินบางส่วนถูกนำไปใช้ในสวัสดิการทางธุรกิจเช่น การทำสนามกอล์ฟ 60 แห่ง สถานพักตากอากาศ 10 แห่ง สนามมวยอีกหนึ่งแห่ง ขาดความโปร่งใส ไม่มีการระบุว่ามีการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์หรือไม่ หรือมีการทำบัญชีอย่างถูกต้องหรือไม่ มีเพียงการรายงานกำไรเพียง 70 – 80 ล้านบาทต่อปี หากทำธุรกิจแล้วได้กำไรน้อยขนาดนี้จะทำไปเพื่ออะไร โดยที่ที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐา ก็พยายามที่จะเอาที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ตั้งชื่อใหม่สวยหรูว่า โครงการธนารักษ์เพื่อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล ซึ่งไม่ใช่โครงการใหม่อะไรเลยเพราะทำมาอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2547 ในชื่อโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ และเปลี่ยนชื่อในปี 2562 เป็นโครงการธนารักษ์ประชารัฐ ที่รูปแบบโครงการเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการเอาโครงการของพลเอกประยุทธ์มาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ
“ผมยืนยันว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ คิดจะแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างจริงจัง จะต้องจัดหางบประมาณในการเร่งรัดกระบวนการพิสูจน์ ไม่ใช่หลอกให้ประชาชนมาสละสิทธิ์การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ และเช่าที่ดินของตัวเองแบบนี้ และเอาที่ดินที่เกินจำเป็นของกองทัพส่งคืนให้กับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาจัดสรรให้กับท้องถิ่น” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่กล้าสั่งการทางนโยบายต้องมาขอร้องกองทัพให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงขอยืนยันว่าตราบใดที่นายสุทิน เป็น รมว.กลาโหมอยู่ อนาคตของธุรกิจ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศมีแต่มืดมน ” พอกันทีกับการเล่นละครตั้งชื่อซีรี่ย์ว่าการพัฒนาร่วมกัน แต่ละครแบบนี้หวังมาให้ได้ซึ่งคะแนนเสียงการเลือกตั้งไม่ได้อีกแล้ว “ประชาชนเขากินข้าว เขาเลิกกินช็อคมิ้นแล้ว”
”รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย นี่ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และถ้านายสุทิน กับนายเศรษฐา ยังคงฝืนทำแบบนี้ต่อไป ก็จะจะยิ่งทำให้ประชาชนที่ถูกหลอก รู้สึกไม่ไว้วางใจกองทัพ และไม่เป็นผลดีต่อการจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ“ นายวิโรจน์ กล่าว