‘ชัยธวัช’ เปิดศึกซักฟอกรัฐบาล ซัดนายกฯ ไร้ภาวะผู้นำ บริหารประเทศแบบคิดไปทำไป
‘ชัยธวัช’ เปิดศึกซักฟอกรัฐบาล ซัดนายกฯ ไร้ภาวะผู้นำ ตั้ง ครม.แบบสมบัติผลัดกันชม บริหารประเทศแบบคิดไปทำไป ฉ้อฉลนโยบายเอื้อทุนใหญ่ พาประเทศสู่วิกฤตศรัทธาวงการตำรวจ ทำประชาธิปไตยไหลย้อนกลับ ไม่ต่างจากผู้นำหลังรัฐประหาร
วันนี้ (3 เม.ย. 67) นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน แถลงญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ด้วยคณะรัฐมนตรี ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินมาเป็นเวลา 6 เดือน แต่มิได้ดำเนินการหรือปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน ไม่จริงใจ เพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายที่ให้ไว้ต่อรัฐสภา ขาดประสิทธิภาพ หรือความชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบาย หรือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายเร่งด่วนสวนทางกับความเป็นจริง
การดำเนินการของรัฐบาลตามนโยบายเร่งด่วนที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ไม่ว่าจะการแก้ปัญหาหนี้สินภาคการเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาความเห็นต่างเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ล้วนขาดยุทธศาสตร์และการปฎิบัติที่ตรงเป้าหมาย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรียังทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศปล่อยปละละเลยให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เกิดการคอรัปชั่นเชิงนโยบายแทนที่จะเร่งฟื้นฟูหลักนิติรัฐ นิติธรรม กับเกิดการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม ทำลายหลักความเสมอภาคเท่าเทียมทางกฎหมาย และการเมือง ไม่จริงใจต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การลดความเหลื่อมล้ำ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการศึกษา และปัญหาสิ่งแวดล้อม
ส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และความเดือดร้อนของประชาชนก็ผิดพลาด ขณะที่การดำเนินนโยบายต่างประเทศยังไม่สามารถฟื้นฟูบทบาทสำคัญของไทยในเวทีโลกได้ หากปล่อยปละละเลยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้เป้าหมาย ไร้จริยธรรม ไร้วุฒิภาวะต่อไปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเงินเศรษฐกิจ และสังคม
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่าหลังการเลือกตั้งประชาชนคาดหวังว่าจะได้ผู้นำประเทศคนใหม่ที่ต่างไปจากผู้นำหลังรัฐประหาร แต่เวลาผ่านไปก็พบว่าเราได้นายกรัฐมนตรีที่ไร้วุฒิภาวะ หลายครั้งท่านสับสนว่าท่านเป็นใคร มีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ขาดภาวะผู้นำในการสร้างความเชื่อมั่น และความชัดเจนในทิศทางของรัฐบาล ซ้ำร้ายอย่างมีวิธีคิดในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบเดิม จัดสรรตามโควตา “สมบัติผลัดกันชม” แทนการสรรหาบุคลากรที่มีมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารกระทรวง
รัฐมนตรีหลายท่าน หลังประกาศจัดตั้งคณะรัฐมนตรีก็ทำให้ประชาชนสิ้นหวัง รัฐบาลชุดนี้ได้บริหารประเทศมากกว่าครึ่งปี ประชาชนคาดหวังการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่กลับพบว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสับสน “คิดไปทำไป” นโยบายเรือธงของรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์และแนวทางที่ชัดเจน
แทนที่ประชาชนจะได้เห็นการบริหารราชการแผ่นดินที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากอย่างเสมอภาคเท่าเทียมเป็นธรรม เรากลับเห็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ผูกขาดเอื้อประโยชน์ต่อทุนใหญ่ หลายนโยบายแอบอ้างประชาชนแต่เนื้อในเต็มไปด้วยการฉ้อฉลเชิงนโยบาย เปิดทางให้รัฐมนตรีและพวกพ้องแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบอย่างน่าละอาย
ประชาชนคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รัฐบาลชุดใหม่แถลงนโยบายว่าจะจัดทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนเข้ามาทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว แต่ผ่านมา 7 เดือนรัฐบาลยังคงวกไปวนมา ประชาชนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไรต่อการปฏิรูปการเมือง และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดพบว่าหากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันในรัฐบาลสมัยนี้ เราอาจได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แม้จะใหม่ แต่ไม่ไว้วางใจประชาชนเหมือนเดิม
พี่น้องประชาชนคาดหวังว่าหลังมีรัฐบาลใหม่ จะเห็นการฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และความขัดแย้งทางการเมืองที่สืบเนื่องยาวนาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราพบว่ากระบวนการนิติสงครามยังดำเนินต่อไป ไม่ต่างจากหลังการรัฐประหาร สถานการณ์การปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างในนามกฎหมายยังไม่เปลี่ยนแปลง สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและมีสัญญาณถูกคุกคามแทรกแซง
พี่น้องประชาชนคาดหวังจะเห็นปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ฟื้นฟูหลักนิติรัฐ นิติธรรมตามที่รัฐบาลแถลงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเราพบกับวิกฤติศรัทธาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในระบบตำรวจและระบบราชการเต็มไปด้วยระบบตั๋ว ส่วย จนประชาชนไม่ไว้วางใจกลไกในการบริหารราชการแผ่นดิน
ความเสมอภาคเท่าเทียมในกระบวนการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลังรัฐประหาร ท่านพูดว่าไม่ชอบกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่พี่น้องประชาชนต้องการอยู่ในระบบเดียวกัน ต้องการอยู่ในประเทศเดียวหนึ่งระบบ ได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาค และได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
หลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่พี่น้องประชาชนคาดหวังจะเห็นระบบการเมืองที่นำพาชาติและประชาชนเดินไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่สิ่งที่เราได้รับกลับกลายเป็นประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ ผู้นำทางการเมืองลุแก่อำนาจ ได้คืบจะเอาศอก พยายามผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจให้อยู่ในมือของชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม แทนที่จะเห็นการยกระดับทางการเมืองเพื่อเดินไปข้างหน้า แต่เรากลับเจอกันเมืองที่ทำลายสิ่งใหม่เพื่อรักษาสิ่งเก่า สภาวะทั้งหมดทำให้เราตกอยู่ในสภาพการเมืองที่ไม่สามารถตอบสนองกับความคิดแบบใหม่ของพี่น้องประชาชน