ราเมศ ยัน ประชาธิปัตย์ ไม่มีเรื่องตบทรัพย์ แนะรัฐบาลฟังความเห็นดิจิทัลวอลเล็ตให้รอบด้าน
วันนี้ (3 ก.พ. 67) นายราเมศ รัตนเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาระบุว่า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็นเครื่องมือในการแก้วิกฤติประเทศ ว่า ในกรณีนี้มองได้ 2 มุม คือในส่วนที่รัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายหลักของพรรคร่วมรัฐบาล จะต้องมีการผลักดันให้เกิดโครงการนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า ถ้ารัฐบาลประกาศไปแล้ว และดำเนินการได้ เราก็ไม่ขัดข้อง เพราะถือเป็นนโยบายของพรรคการเมือง แต่เราก็ต้องท้วงติงว่า ที่บอกว่าเศรษฐกิจวิกฤตนั้น วิกฤตจริงหรือไม่ และจะต้องมีการฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นข้อท้วงติงจากทุกภาคส่วน ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลก็จะต้องตระหนักในข้อคิดเห็นของกฤษฎีกา แต่ส่วนที่จะต้องใช้ดุลยพินิจว่า เศรษฐกิจถึงขั้นวิกฤตจนต้องออกเป็นกฎหมาย พ.ร.บ. กู้เงินฯ หรือไม่ เราก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของกฤษฎีกา และมีกรอบในการทำงานของข้อกฎหมาย
ส่วนในเรื่องการพิจารณาความจำเป็นในการกู้เงิน รัฐบาลต้องตัดสินใจภายใต้ข้อมูล และข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน การที่ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ ให้ความเห็นถือเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันกับรัฐบาล แต่เชื่อว่าการให้ความเห็นดังกล่าวยึดมั่นในผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศ
“ถ้ารัฐบาลตั้งธงเพียงอย่างเดียว ไม่รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ก็จะทำให้เป็นนโยบายที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศได้” นายราเมศกล่าว
ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบของสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ว่าจะไปในทิศทางใด และต้องดูว่ารัฐบาลจะกำหนดแนวทางเดินหน้าไปในทิศทางอย่างไร เพราะทอดเวลามานานพอสมควร ส่วนจะคัดค้านนโยบายนี้หรือไม่ ต้องมาดูจุดหมายปลายทาง ว่าจะไปทิศทางไหน และต้องรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย และมองว่าไม่มีองค์ไหนต้องการเตะตัดขารัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีขบวนการตบทรัพย์ข้าราชการที่ถูกโยงมาถึงนักการเมือง นายราเมศ ย้ำว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบจากทุกองค์กรแล้ว ตนเชื่อว่าจะทำให้สังคมในเรื่องของการร้องเรียนเกิดความบริสุทธิมากยิ่งขึ้น การที่จะตั้งต้นไปตรวจสอบนักการเมืองทุกคนน้อมรับหมด
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกร้องหลายเรื่อง จะได้เห็นได้ว่า เราไม่เคยไปต่อว่าผู้ร้อง และเราก็พร้อมชี้แจง ซึ่งสุดท้ายเราก็ต้องไปชี้แจงกับองค์กร์ที่ถูกร้อง และเราก็ชนะมาได้ทุกกรณี เพราะเอาความจริงเข้าสู้ ส่วนใครที่ไปตบทรัพย์ หรือขบวนการที่เรียกรับผลประโยชน์ ที่เกิดจากการไปร้องเรียน เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ผลต่างๆ ก็จะออกมา และเกิดบรรทัดฐานให้เห็นว่า หากมีกระบวนการร้องเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ก็จะได้รู้ทั้งหมดว่าหลักในการตั้งต้นร้องเรียน เพื่อให้สังคมเกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ จะต้องตั้งต้นด้วยความบริสุทธิ์ และความซื่อสัตย์สุจริต ขบวนการเหล่านี้ ตนเห็นด้วยที่องค์กรรับเรื่องจะต้องทำให้เรื่องดังกล่าวกระจ่าง และกระชากหน้ากากออกมาว่าใครอยู่เบื้องหลัง และทำมาแล้วกี่ครั้ง เกิดความเสียหายกับใครบ้าง ไม่อยากให้มองว่าเมื่อมีเรื่องนี้แล้ว กระบวนการตรวจสอบผู้ที่กระทำความผิด ด้อยประสิทธิภาพลง เราอยากเห็นความเข้มแข็ง องค์กรต่างๆ ในการทำงานเชิงรุกในการตรวจสอบ เพราะถ้าเราคาดหวังจากกลุ่มคนที่ไปร้องก็จะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และพรรคได้ติดตามเรื่องนี้ แต่ในส่วนของพรรคไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
นายราเมศ ย้ำว่า อาจจะมีนักร้องบางคนกล่าวพาดพิงบ้าง แต่เราก็ชี้แจงได้ และย้ำว่า ร้องได้พาดพิงได้ แถลงข่าวได้ แต่ถ้าไม่จริง พรรคก็จะดำเนินการในเรื่องนี้