“ทวี สอดส่อง” ชี้ คำวินิจฉัยศาล รธน.กรณีหัวหน้า คสช เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” หรือไม่ และการถือหุ้นสื่อ ของ ส.ส.จะมีผลต่อการสร้างความเป็นธรรม หรือการดำรงความขัดแย้งในสังคมไทย !!
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติได้โพสต์ความคิดเห็นสำคัญลงเฟสบุ๊คส่วนตัววันนี้ (6 ก.ค.62) ว่าประเด็นสำคัญทางการเมืองที่น่าติดตามในขณะนี้มีสองเรื่องใหญ่ที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจคือ
เรื่องแรก กรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของ ส.ส.ฝ่ายค้านที่เข้าชื่อจำนวน 110 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170(4)ประกอบมาตรา 160(6)และมาตรา 98(15) เหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่
เรื่องที่สอง เป็นกรณีที่มีการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลสิ้นสุดลงเพราะถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนหรือไม่
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองกรณีดังกล่าวจะมีผลต่อการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดสันติภาพ หรือดำรงความขัดแย้งในสังคมไทย !!คงต้องติดตามกันต่อไป
ประเด็นที่ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่ง หัวหน้าคสช. เป็น”เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” หรือไม่นั้น หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ก็จะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้เนื่องจากตำแหน่งหัวหน้า คสช.เป็นตำแหน่งที่มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและตามรัฐธรรมนูญทั้งฉบับชั่วคราวปี 2557 และฉบับปี 2560 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคสช.ไว้ จึงถือว่าตำแหน่งดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งโดยกฏหมาย และได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินประจำตำแหน่ง หน.คสช 75,590 บาทต่อเดือน และเงินเพิ่มอีก 50,000 บาทต่อเดือน รวมเป็น 125,590 บาทต่อเดือน แยกต่างหากจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในกรณีนี้ ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาได้พิพากษาวางเป็นบรรทัดฐานไว้ก่อนแล้วว่า ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3578/2560 คดีที่อัยการสูงสุดฟ้องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ข้อหาขัดคำสั่งให้รายงานตัวตามประกาศ คสช ซึ่งศาลได้วินิจฉัยสรุปว่า หัวหน้า คสช.เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจออกคำสั่ง คสช.ให้จำเลยมารายงานตัว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นการขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานจึงเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคหนึ่ง
ในกรณีเดียวกัน ได้มีผู้ยื่นคำร้องให้ กกต. วินิจฉัยว่าการเสนอชื่อ พลเอก ประยุทธ์ หัวหน้า คสช เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็น“เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” แต่ กกต.ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเพียงแต่ พิจารณาแล้วเห็นว่า การประกาศชื่อ พลเอก ประยุทธ์ เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีชอบด้วยกฏหมาย…แล้ว” เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีผู้ยืนคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องโดยให้เหตุผลว่า ไม่ใช่บุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของ กกต จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย
ด้วยความพยายามของ ส.ส. ฝ่ายค้าน นำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.พรรคร่วมฝ่านค้าน จำนวน 110 คน ร่วมกันเข้าชื่อขอให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฏรส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ว่าเป็น”เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” หรือไม่ นั้น และเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2562 ประธานสภาฯ ได้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แล้ว ถือเป็นความพยายามเพื่อต้องการให้ข้อสงสัยได้รับวินิจฉัยชี้ขาดโดยผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองไทย หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม ที่บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ที่มีกรณีที่ศาลฎีกาได้วางแนวคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้ ถึง 2 กรณี คือ
“ความเป็นธรรมทางกฎหมาย” และ “ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย” จะสร้างความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการยอมต่อกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ และผู้บังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ที่เรื่องดังกล่าวก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัย
สิ่งที่ท้าทายคือศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องทั้งสองกรณีข้างต้นไปในทางใด จะยึดบรรทัดฐานเดียวกับศาลฎีกาหรือจะวางแนวบรรทัดฐานใหม่ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป
หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแตกต่างจากศาลฎีกาที่วางบรรทัดฐานไว้ ศาลรัฐธรรมนูญคงต้องให้เหตุผลที่ทำให้สังคมยอมรับได้ แม้ผลของคำวินิจฉัยจะผูกพันทุกองค์กรรวมถึงศาลฎีกาด้วยก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็ถือเป็นศาลสูงสุดในระบบศาลยุติธรรม ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญ คงจะได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบมีเหตุมีผลที่สังคมยอมรับได้
Send this to a friend
การแจ้งเตือน