เตรียมสถาปนาพื้นที่คุ้มครองชุมชนปกาเกอะญอ บ้านแม่ปอคี พัฒนาสู่โมเดลเชื่อมโลกชาติพันธุ์และโลกร่วมสมัย

เตรียมสถาปนาพื้นที่คุ้มครองชุมชนปกาเกอะญอบ้านแม่ปอคี เปลี่ยนทัศนคติวิถีชีวิตคนบนดอย สร้างสมดุลระหว่างการใช้และรักษาทรัพยากร หวังพัฒนาสู่โมเดลเชื่อมโลกชาติพันธุ์และโลกร่วมสมัย
นายประหยัด เสือชูชีพ กลุ่มเยาวชนบ้านแม่ปอคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เปิดเผยว่า ชุมชนบ้านแม่ปอคีจะจัดงานสถาปนาพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านแม่ปอคี (ขุนแม่เหว่ย) ในวันที่ 26 เมษายน 2567 เพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนไว้ โดยก่อนหน้านี้ได้เก็บข้อมูลศึกษาวิจัยพบว่า การทำไร่หมุนเวียนแปลงใหญ่ของชาวบ้านเป็นการรบกวนธรรมชาติน้อยที่สุด และยังทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและเป็นการทำงานกันแบบเครือญาติโดยการ “เอามื้อ” ซึ่งเป็นการพูดคุยและได้เห็นรอยยิ้มกัน นอกจากนี้ การทำไร่หมุนเวียนแบบแปลงรวมยังช่วยในการจัดการไฟและใช้เวลาสั้น ๆ ในการเผา
“เราคาดหวังว่าการประกาศเขตวัฒนธรรมครั้งนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติในทางลบที่มีต่อชุมชนและก่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นใจในวิถีวัฒนธรรมของคนปกาเกอะญอ เราอยากให้เกิดกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและชุมชน และมีการสร้างเศรษฐกิจให้ชุมชนอยู่ได้” นายประหยัด กล่าว
ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า การประกาศพื้นที่คุ้มครองของชุมชนแม่ปอคีครั้งนี้ เป็นความรู้สึกของชาวบ้านที่อยากจะมีพื้นที่เขตวัฒนธรรม เขาต้องการการปกป้องคุ้มครองทุนทางทรัพยากร ทุนทางวัฒนธรรมที่เขามี ไม่ให้ถูกภายนอกเข้ามากระแทกทำลายจนไม่เหลือ เพราะถ้าไม่เหลือทุน ชาวบ้านก็ต้องพึ่งพาภายนอกทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และความรู้ต่าง ๆ
“การประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษเป็นการปกป้องทุนของชุมชน ปกป้องสิทธิให้ชุมชนได้อาศัยทุนในการพัฒนาและยกระดับวิถีชิวิตของตนเองในอนาคตได้ และจะเป็นพื้นที่ต้นแบบ พื้นที่เรียนรู้ โดยเฉพาะใน จ.ตาก ที่เป็นพื้นที่ชายแดน เราได้แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม กรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรมในการคุ้มครองและพัฒนาต่อยอดวิถีชีวิตชาติพันธุ์ที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับยุคสมัย การประกาศพื้นที่นี้ไม่ใช่การแช่แข็งชุมชนให้กลับไปอยู่เหมือนอดีต เราจะปรับจะเปลี่ยนอย่างไร ตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ ตามเวลา แต่ไม่ใช่ถูกกำหนดจากข้างนอก” ผศ.สุวิชาน กล่าว
ก่อนหน้านี้ได้มีการทำวิจัยซึ่งเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชน ข้อค้นพบคือ การจัดการทรัพยากรในพื้นที่สัดส่วนที่อยู่อาศัยที่ทำกิน 52% และอีก 48% เป็นพื้นที่อนุรักษ์ เก็บข้อมูลประวัติศาสตร์โดยชุมชนที่อยู่มา 423 ปี เป็นระบบการจัดการ การอนุรักษ์พื้นที่ป่า สร้างความสมดุลของการใช้และการดูแล
“เราเห็นว่าความมั่นคงทางอาหารที่ดำรงอยู่ได้ คือวิถีเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ชุมชนเพาะปลูกพืชต่าง ๆ ในไร่หมุนเวียนถึง 80 กว่าชนิด บางชนิดกินได้ 3 เดือน บางชนิดปลูกเดือนเมษายนกินได้พฤษภาคมก็หมด แล้วมีพืชอื่นเกิด บางชนิดกินไปได้ถึงธันวาคม มีนาคม เมษายน เช่น เผือก มัน ปลูกครั้งเดียวได้กินทั้งปี แล้วพอรอบใหม่ก็ปลูกใหม่ เป็นวงจรความมั่นคงทางอาหารในไร่หมุนเวียน” ผศ.สุวิชาน กล่าว