HUMANITY

‘แอมเนสตี้’เรียกร้องรัสเซียยุติสงครามหลังยืดเยื้อรุนแรงมา 1 เดือน

วันนี้ (23 มี.ค. 65) เวลา 18:00 น. บริเวณหน้าสถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย เขตบางรัก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และประชาชนในประเทศไทย ร่วมกันเรียกร้องทางการรัสเซีย ให้ยุติการรุกรานและคุ้มครองพลเรือนยูเครน โดยนักกิจกรรมได้ยืนถือโปสเตอร์ข้อความและภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งจุดเทียนและยืนสงบนิ่งเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

นางสาวปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนการบุกรุกยูเครนของรัสเซีย โดยนักกิจกรรมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อเรียกร้องให้รัสเซียยุติการบุกรุกยูเครน ซึ่งเป็นการกระทำรุกรานที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และยังคงทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในทุกระดับต่อประชาชนในยูเครน รวมทั้งเสรีภาพในการแสดงออกในรัสเซีย และกระทบต่อกรอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย

นางสาวปิยนุช กล่าวต่อไปว่า ปฏิบัติการของรัสเซียส่งผลให้เกิดหายนะด้านสิทธิมนุษยชนในยูเครน ในช่วงแค่สี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิต ความเป็นอยู่ บ้านเรือน และโครงสร้างพื้นฐานได้ถูกทำลาย ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน และอีกหลายล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน ส่วนที่รัสเซียเอง ทางการได้เริ่มการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้มีการรุมซ้อมและคุมขังผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านสงคราม สื่ออิสระที่ยังมีเหลืออยู่ไม่มากนักถูกบังคับให้ต้องปิดตัวลง การขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นอย่างรุนแรงหรือเฉียบพลันอันเนื่องมาจากการบุกครั้งนี้ อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมในวงกว้างขึ้นทั่วโลก

“หนึ่งเดือนนับแต่เริ่มการบุกครั้งนี้ นักกิจกรรมจากทุกมุมโลกต่างเปล่งเสียงเดียวกัน เรียกร้องให้ทางการรัสเซียยุติการทำลายล้างที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยยุติการรุกรานที่ผิดกฎหมาย คุ้มครองพลเรือน และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ” ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าว

นางสาวปิยนุช ยังเปิดเผยว่า นับแต่เริ่มการบุกครั้งนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกข้อมูลการโจมตีไม่เลือกเป้าหมายที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ เป็นการโจมตีที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้ทำลายหรือสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมทั้งการยิงระเบิดใส่โรงพยาบาลและโรงเรียน และการใช้ระเบิดลูกปรายซึ่งเป็นอาวุธต้องห้าม อันอาจถือเป็นอาชญากรรมสงครามตามกฎหมายระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้เกิดความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมเหล่านี้ และจะมีการนำเสนอพยานหลักฐานที่จำเป็น ที่สามารถใช้เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ  

“การบุกยูเครนโดยรัสเซีย เป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อธรรมนูญแห่งสหประชาชาติ และเป็นการกระทำรุกรานซึ่งถือเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนการที่รัสเซียตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะมนตรีแห่งยุโรป และจากการเป็นภาคีอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป เป็นการถอดเกราะป้องกันการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนอันสุดท้ายที่เหลืออยู่ ทั้งที่ประชาชนในรัสเซียทุกวันนี้ต้องการมันมากที่สุด” ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าว

สำหรับกิจกรรมรณรงค์ในลักษณะนี้จะมีขึ้นด้านนอกของสถานเอกอัครราชทูตรัสเซีย และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่ อัลจีเรีย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก ญี่ปุ่น เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ สเปน เกาหลีใต้ สวีเดน ไต้หวัน สหรัฐฯ และประเทศไทย นอกจากนั้นทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังได้ทำข้อเรียกร้องออนไลน์เพื่อรณรงค์เรียกร้องให้ทางการรัสเซียยุติการกระทำรุกรานและคุ้มครองพลเรือน ซึ่งได้มีผู้ร่วมลงนามแล้วกว่า 340,000 คน

ด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมชาวไทยร่วมกิจกรรมด้วย และกล่าวว่า การที่รัสเซียนำกำลังทหารมาบุกยูเครน ถือว่าผิดกติกาสากลของสหประชาชาติ หากปล่อยสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่คนยูเครนจะเสียชีวิต แต่จะมีความเสียหายต่อมนุษยชาติ ประเทศไทยจึงปฏิเสธความรับผิดชอบทางศีลธรรมไม่ได้ และเป็นหน้าที่ของเราเพราะสงครามจะนำมาซึ่งความตายและหายนะ

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat