ทูตยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อน การขยายเงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็นแบบถ้วนหน้า

นวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง ทูตองค์การยูนิเซฟ ประจำประเทศไทย ลงพื้นที่ร่วมทำงานกับยูนิเซฟ เพื่อขับเคลื่อนประเด็น การขยายเงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็นแบบถ้วนหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี คนใดในประเทศไทยต้องตกหล่น จากสวัสดิการเงินอุดหนุนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิต และการพัฒนาของเด็กไทยทุกคน
ข้อมูลจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2564 ชี้ให้เห็นว่าอัตราความยากจน ในเด็กของประเทศไทย สูงถึงร้อยละ 10 ซึ่งสูงกว่าอัตราความยากจน เฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 6 นอกจากนี้ยังพบว่าเด็ก 1 ใน 5 คน ต้องเผชิญกับความยากจนหลายมิติ ซึ่งเป็นความขาดแคลนในมิติอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญปัญหาทางสุขภาพ การขาดการศึกษา หรือการมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
นวลพรรณ กล่าวว่า “การลงพื้นที่ในครั้งนี้ นับเป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกของแป้งให้กว้างขึ้น ซึ่งต้องขอขอบคุณทั้ง 2 ครอบครัวจากใจ ที่เปิดบ้านให้แป้งได้เข้าไปพูดคุย ทำความเข้าใจ และทำให้แป้งได้เห็นจริงๆ ว่าเงินอุดหนุนรายเดือนนี้ สามารถสร้างความแตกต่าง ให้กับครอบครัวที่มีลูกเล็กได้ โดยเฉพาะครอบครัวที่กำลังเดือดร้อนและยากลำบาก เพราะเงินจำนวนนี้หมายถึงอาหารที่มีประโยชน์ ของเล่น ของจำเป็นเพื่อการเรียนรู้ของลูก ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเครียดของพ่อแม่ที่กำลังดิ้นรนเพื่อลูกๆ ของตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกๆ ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพตลอดช่วงชีวิต ดังนั้นการทำให้เด็กทุกคนในประเทศ สามารถเข้าถึงเงินอุดหนุนนี้ และให้แน่ใจว่าจะไม่มีเด็กคนใด โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวที่ยากจน ต้องตกหล่นจากสวัสดิการนี้ จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญและทำให้เกิดขึ้นจริง เพื่ออนาคตของเด็กทุกคนและของประเทศไทย”
สำหรับโครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ถือเป็นการคุ้มครองทางสังคมขั้นต่ำสำหรับเด็กเล็ก โดยริเริ่มในปี 2558 และขยายความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเด็กแรกเกิดถึง 6 ปีจำนวน 2.3 ล้านคนได้รับเงินอุดหนุนเดือนละ 600 บาท โดยเป็นกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน ไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อคนต่อปี สวัสดิการนี้ยังไม่สามารถ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง โดยเข้าถึงเด็กแรกเกิดถึง 6 ปีได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งเด็กยากจนจำนวนมาก ที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินอุดหนุนก็ยังคงตกหล่นจากสวัสดิการนี้ เนื่องจากข้อบกพร่องในกระบวนการคัดกรองและการลงทะเบียน
ที่ผ่านมา ยูนิเซฟและภาคีเครือข่ายได้เรียกร้อง ให้รัฐบาลไทยขยายเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ให้เป็นแบบถ้วนหน้า เพื่อไม่ให้มีเด็กคนใดต้องตกหล่นจากสวัสดิการนี้ นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับเพิ่มจำนวนเงินเพื่อสะท้อนค่าใช้จ่าย ในการดูแลเด็กในปัจจุบัน เนื่องจากจำนวนเงินนี้ไม่ได้ปรับมาตั้งแต่ปี 2559 การสำรวจหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก มักเผชิญกับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่มีรายได้น้อยลง และมีหนี้สินเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา
ซาร่าห์ ชาห์ย่า หัวหน้าฝ่ายนโยบายสังคม องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เด็กที่โตขึ้นมากับความยากจนมักมีโอกาส ที่จะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพน้อยกว่าเด็กคนอื่นๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า สำหรับเด็กและครอบครัว และเป็นความสูญเสียร้ายแรงของสังคม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรไทยในปัจจุบัน ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแสดงให้เห็นว่า โอกาสการลงทุนในเด็ก ผู้ซึ่งจะเป็นทรัพยากรอันล้ำค่านั้นเหลือไม่มากนัก ดังนั้นการคุ้มครองเด็กจากความยากจน ไม่เพียงเป็นเรื่องสำคัญ ของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนมากอีกด้วย”
ประสบการณ์จากหลายประเทศ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการขยายเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ให้เป็นแบบถ้วนหน้าสามารถช่วยลดความยากจน ในทุกกลุ่มประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลจากประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางชี้ว่า สวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า ซึ่งใช้งบประมาณเพียงร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สามารถลดอัตราความยากจน ของทุกกลุ่มประชากรได้ถึงร้อยละ 20 ทั้งนี้ จึงไม่ควรเลือกระหว่างการกระจายรายได้ การลดความเหลื่อมล้ำและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะทั้งหมดนี้ต้องทำควบคู่กันไป