HUMANITY

ชี้ ชาวปกาเกอะญอสนใจการเมืองมากขึ้น แนะรัฐกระจายอำนาจมากขึ้น

เสวนาจิตวิญญาณแห่งปกาเกอะญอ ชี้ชาวปกาเกอะญอสนใจพื้นที่การเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แนะรัฐกระจายอำนาจมากขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหาโดยตรง

วันนี้ (17 มิ.ย. 66) ที่สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จ.เชียงราย มีการเสวนา “จิตวิญญาณแห่งปกาเกอะญอ ข้าคือคน-รักษ์-ป่า” โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายพฤ โอโดเชา นายชัยธวัช จอมติ นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ นายสรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ และนายปรัชญาณินทร์ วงศ์อทิติกุล เป็นผู้ดำเนินการ

นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เคยมีโอกาสไปอยู่กับชาวปกาเกอะญอ และตนชื่นชอบในวิถีชีวิต โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายซึ่งมีความเป็นธรรมชาติ ใช้การทอผ้าแบบดั้งเดิม สืบทอดภูมิปัญญามาจากบรรพบุรุษ การตำข้าวด้วยครก การขวัดข้าว การต้มเหล้าซึ่งเป็นภูมิปัญญาเช่นเดียวกัน

นางเตือนใจ กล่าวต่อว่า ชาวปกาเกอะญอมีไร่หมุนเวียนเป็นอธิปไตยทางอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง และมีงานวิจัยพบว่าการทำไร่หมุนเวียนทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ แทนที่ประชาชนจะได้ร่วมบริหารป่าหรือใช้ประโยชน์ยั่งยืน เพราะเป็นผู้ดูแลป่ามายาวนาน แต่คนรักษาป่าเหล่านี้กลับถูกลงโทษ ระบบไร่หมุนเวียนกลับไม่เป็นที่ยอมรับ จึงเกิดการรณรงค์ให้มีมติคณะรัฐมนตรีคุ้มครองวิธีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

ผศ.ดร.สุวิชาญ กล่าวถึงศักยภาพการเรียนรู้ การปรับตัวของชุมชนปกาเกอะญอในศตวรรษที่ผันผวน ซับซ้อน และคลุมเครือว่า ชาวปกาเกอะญอเข้าไม่ถึงสิทธิการใช้ทรัพยากร การพัฒนาและต่อยอดต่าง ๆ อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่ปฎิเสธไม่ได้คือพื้นที่ทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ซึ่งชาวปกาเกอะญอเข้าไปเรียนรู้การใช้พื้นที่นี้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

“ทำอย่างไรจึงจะมีวิธีการกรองวัฒนธรรมที่รับเข้ามา ทำอย่างไรที่อุดมการณ์การอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับคน และคนกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายคนรุ่นใหม่ในการออกแบบไม่ให้ถูกครอบ ถูกกด หรือถูกชี้นำ ถ้ามองว่าชุมชนปกาเกอะญอต้องอยู่เหมือน 50 ปีก่อน เป็นการมองแบบโรแมนติกเกินไป แต่ควรปรับเปลี่ยนที่เกิดจากการตัดสินใจจากข้างใน ถ้าให้คนข้างนอกมาทำให้ปรับเปลี่ยนจะทำให้ไม่ยั่งยืน” ผศ.ดร.สุวิชาญ กล่าว

นายธวัชชัย จอมติ ตัวแทนปกาเกอะญอจากบ้านห้วยหินลาดใน จ.เชียงราย กล่าวถึงเศรษฐกิจคนรุ่นใหม่กับการจัดการดูแลป่าว่า ชุมชนปกาเกอะญอที่อยู่รอดต้องมีเศรษฐกิจที่มั่นคง ทรัพยากรที่มีต้องแปลงเป็นอาชีพที่ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ โดยชุมชนห้วยหินลาดใน สามารถยกระดับเศรษฐกิจได้โดยมีสินค้าชุมชนจากทรัพยากรที่มี เช่น น้ำผึ้ง ทั้งนี้เราพยายามรักษาป่าเพื่อมีรายได้จากป่า แต่ปัจจุบันยังไม่มีความมั่นคงเรื่องที่ดิน เพราะต้องการเปลี่ยนจากโฉนดที่เป็นของปัจเจกมาเป็นโฉนดหน้าหมู่ ภัยคุกคามคือนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดิน หากเกิดโฉนดชุมชนก็จะแก้ปัญหานี้ แต่รัฐทำงานช้าและมักใช้ความคิดของตัวเองสร้างชุมชน ทำให้ไม่ยั่งยืนและไม่สมดุล

“ความมั่นคงในเรื่องสิทธิในที่ดินต้องมี ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ไหลออกจากชุมชน แต่เยาวชนของเราอยู่บ้าน 99% เรียนจนเขาก็กลับมาทำงานที่หมู่บ้าน คนที่เรียนก็เรียนไป แต่คนที่อยู่บ้านก็ช่วยกันพัฒนา ยุคนี้เราทำตลาดขายสินค้าง่ายขึ้น ข้อกังวลของเราคือกลัวคนรุ่นใหม่จะไม่สานต่อ เราจึงพยายามหาอาชีพให้คนรุ่นใหม่ มีพื้นที่ให้ได้” นายธวัชชัย กล่าว

นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ ผู้แทนปกาเกอะญอ จาก สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวถึงมนุษยธรรม อำนาจรัฐและสิทธิของกะเหรี่ยงสองฟากฝั่งว่า ตนอยู่ในพื้นที่ชายแดนซึ่งฝั่งตรงข้ามมีสถานการณ์สู้รบ คำว่ามนุษยธรรมจึงถูกนำมาใช้บ่อย ประเทศใดมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะกระทบถึงกัน เช่น สาละวิน ไม่ใช่แค่แม่น้ำแต่เชื่อมโยงป่าและความเป็นอยู่ของผู้คน ถ้านำหลักมนุษยธรรมให้ประชาชนจัดการตัวเองได้ อำนาจรัฐก็ควรเปลี่ยนเพื่อให้ปกป้องชุมชนอย่างแท้จริง

นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การกระจายอำนาจในปัจจุบัน ยังไม่ได้เป็นการกระจายอำนาจที่แท้จริง อบต.แม่สามแลบที่ตนดูแลอยู่ ทุกหมู่บ้านมีความแตกต่างกันในแนวทางแก้ไขปัญหา แต่รัฐบังคับและกำกับให้ต้องทำเหมือน ๆ กัน จึงไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของชาวบ้านโดยตรง ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย

นายพฤ โอ่โดเชา ผู้แทนปกาเกอะญอจาก อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงความเชื่อ พิธีกรรมในฤดูกาลแห่งชีวิตปกาเกอะญอว่า มีโอกาสเข้าไปในป่าแก่งกระจาน เจอชาวบ้านที่ทำมาหากินในวิถีดั้งเดิม บ้านและไร่ ของคนบางกลอยถูกทำให้มองว่าผิด ทั้ง ๆ ที่เป็นวิถีดั้งเดิมที่อยู่มาก่อนอุทยานฯ ถ้าจะให้เข้าใจปกาเกอะญอแบบง่าย ๆ ต้องศึกษาพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอด 12 เดือน

นายพฤ กล่าวว่า ไฟของปกาเกอะญอที่นำมาเผาไร่หมุนเวียนนั้น ไฟต้องมีเจ้าของ เพราะจะควบคุมได้ แต่ไฟที่ไหม้ป่าทุกวันนี้ไม่มีเจ้าของ ชาวบ้านจะมีปฎิทินล้านนาที่มีกำหนดวันเผา เพราะไฟเป็นของร้อนห้ามเผามั่ว เราเลี้ยงสัตว์ หาของป่าซึ่งไฟไม่เกิด แต่พื้นที่ข้างนอกเกิดไฟและอุทยานฯ บอกว่าเกิดจากคนเลี้ยงสัตว์

นายสรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงดนตรีชาติพันธุ์กับการสื่อสารสาธารณะว่า เราจะรักษาจิตวิญญาณร่วมสมัยอย่างไร จะรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์อย่างไร บางเรื่องอาจหายไปแต่บางเรื่องอาจสร้างใหม่ สถานการณ์การเลื่อนไหลของผู้คนที่มีการข้ามพรมแดนไปมา บางครั้งคนปกาเกอะญอฝั่งไทยและพม่าอาจมีความต่างกัน แต่ต้องรักษาความหลากหลายภายในไว้ให้ได้ ต้องมองความเป็นชาติพันธุ์ให้พ้นกรงขังของรัฐชาติ

Related Posts

Send this to a friend