นางกนกพร เล่าว่า บรรยากาศในเมืองฉงชิ่งขณะนี้นั้นเงียบมาก ไม่มีผู้คนเดินตามถนน เนื่องจากมีการระบาดของโรคและมีมาตรการในการเฝ้าระวังให้ผู้คนปิดตัวอยู่ในบ้าน จึงไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้ ซึ่งร้านที่ทั้ง 4 คน ทำงานอยู่นั้นได้ปิดตัวลงตั้งแต่ 17 มกราคม ก่อนที่จะมีโรคระบาด เนื่องจากไม่สามารถให้คนไทยทำงานต่อไปได้
ขณะนี้นางกนกพรและเพื่อน อาศัยอยู่ที่หอพัก ซึ่งจะหมดระยะเวลาเช่า 30 มกราคมนี้และต้องย้ายออก ตอนนี้ทุกคนมีเงินติดตัวอยู่เพียงประมาณ 200-300 หยวน หรือประมาณ 900-1300 บาทเท่านั้น เนื่องจากนายจ้างชาวจีนไม่ได้จ่ายค่าจ้างรวมทั้งหมด 4 เดือน และได้ขาดการติดต่อไปแล้ว ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย
“ตอนนี้กลัว และลำบากมาก อยากกลับไทย มีแค่ข้าวสาร ไข่ มาม่า ที่เหลืออยู่ไว้ประทังชีวิต แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้ เงินก็จะหมด ไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่วัน อยากตามหานายจ้างให้เจอแล้ว ขอให้จ่ายเงินเดือนเพื่อขจะได้ซื้อตั๋วกลับไทย แต่ตอนนี้ติดต่อไม่ได้ จึงอยากฝากบอกรัฐบาล อยากให้เข้ามาช่วยเหลือเรื่องการกลับบ้าน อยู่ที่นี่อันตรายและน่ากลัว”
สำหรับการใช้ชีวิตในเมืองฉงชิ่ง พวกเธอเล่าว่า บ้านเรือน ร้านค้าปิดทั้งหมด มีซุปเปอร์มาเก็ตเปิดบ้าง และผู้คนต่างพากันอยู่ในบ้าน มีเดินตามท้องถนนบ้าง แต่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เช่นเดียวกับพวกเธอ ที่จำเป็นต้องออกมาหาไวไฟที่ร้านอาหาร ซึ่งปิด แต่ต้องใช้อินเตอร์เนตในการติดต่อขอความช่วยเหลือกลับไทย ซึ่งที่ห้องพักไม่มีอินเตอร์เนต
ทั้งนี้ นางกนกพร เคยไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือแล้วที่เฉิงตู ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าจะดำเนินการให้ แต่ขณะนี้ผ่านมานานแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 คนยังมีความหวังว่าอยากจะตามหานายจ้างให้เจอเพื่อที่จะได้รับค่าจ้าง จึงต้องการล่ามเพื่อใช้ในการสื่อสารด้วย โดยทั้งหมดมีวีซ่าอย่างถูกต้อง แต่นายจ้างปิดร้านหนีไปตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.63 แล้วไม่สามารถติดต่อได้ ขณะที่หอพักที่อาศัยอยู่ก็จะหมดสัญญาวันที่ 31 ม.ค.นี้
สำหรับคนไทยทั้ง 4 คนที่ขอความช่วยเหลือประกอบด้วย นางกนกพร แสงอุไร น.ส.มาลา ครรชิตพนา น.ส.วลัยลักษณ์ อินทปัญโณ และ น.ส.ศรัญยา เจ๊กทำนา หมายเลขโทรศัพท์ +861321231455