HEALTH

ไข้หวัดใหญ่ไม่ได้หายไปไหน ยังเป็นภัยเงียบ กลายพันธุ์ทุกปี

รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ร่วมกับ ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร ประธานคลัสเตอร์วิจัยอายุรศาสตร์เขตร้อน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถานเสาวภา ฝ่ายวิชาการ จัดเสวนา ‘ไข้หวัดใหญ่หายไปไหนในยุค COVID-19 และควรดูแลตัวเองอย่างไร’ เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่ ยังคงเป็นภัยเงียบที่มีการกลายพันธุ์ เป็นเชื้อใหม่ทุกปี รวมถึงความเข้าใจผิดที่ว่า หากเคยติดโควิด-19 แล้ว จะไม่ติดไข้หวัดใหญ่อีก ภายในงานมี รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ อาจารย์พิเศษ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งนี้เพื่อย้ำเตือนและแนะแนวทางการดูแลตนเอง และครอบครัวในภาคประชาชน รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัว ของภาครัฐ และภาคเอกชนในด้านการสาธารณสุข และการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวว่า “3 ปีที่ผ่านมาไข้หวัดใหญ่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเรื่องโควิด และมีการป้องกันตัวที่ดี เช่นการงดพบปะสังสรรค์ การสวมหน้ากากอนามัย การระวังเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผลพลอยได้ ทำให้ป้องกันเชื้อโรคจากทางเดินหายใจต่างๆ ได้เกือบหมด แต่ในปัจจุบันที่สถานการณ์ต่างไป มีการกลับมาใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจกรรมตามปกติ ทำให้คาดว่าในประเทศไทยโรคไข้หวัดใหญ่น่าจะกลับมาแพร่ระบาดอย่างแน่นอน อีกทั้งที่ผ่านมา 3-4 ปี คนไม่ค่อยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่มีภูมิคุ้มกัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์ไปอย่างมาก ซึ่งถ้าติดขึ้นมาจะอาการแย่ลงกว่าเก่า การป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน”

“ในประเทศไทยไข้หวัดใหญ่ จะมีช่วงแพร่ระบาดในฤดูฝน ช่วงเดือน พ.ค. มิย.เป็นช่วงเวลาที่มีการบ่มเชื้อโรคมากที่สุด เพราะเป็นช่วงเปิดเทอม เด็กออกไปทำกิจกรรมใกล้ชิดกัน และกลับมาเป็นพาหะพาเชื้อสู่ครอบครัว ติดผู้สูงอายุในบ้าน เช่น ปู่ย่า ตายาย ดังนั้น 2 กลุ่มหลักที่ควรสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน คือ 1.กลุ่มเด็กที่จะเป็นกลุ่มติดเชื้อเยอะ และเป็นแหล่งของการแพร่กระจาย 2.กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ปอด ไต และโรคสมอง เพื่อป้องกันการอันตรายถึงชีวิต”

จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่าหากไม่มีการฉีดวัคซีนฯ ผู้ใหญ่จะมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 5-10% ส่วนเด็กจะอยู่ที่ 20-30% ต่อปีของประชากรทั้งหมด โดยเมื่อคำนวณจากประชากรโลกที่มีทั้งสิ้น 7,000 ล้านคน แสดงว่าผู้ใหญ่ทั่วโลก อาจจะติดไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 700 ล้านคน และจำนวนนี้จะมีอาการป่วยหนัก เข้านอนในโรงพยาบาล หรือเข้ารักษาใน ICU ประมาณ 5 ล้านคน และอัตราการเสียชีวิตประมาณ 5 แสนคน ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่หากเราสามารถให้วัคซีน กับคนทั่วโลกในทุกปีได้ อัตราตัวเลขนี้ต่างๆก็จะลดลง

สำหรับประเทศไทย ในแต่ละปีจะมีการเตรียมวัคซีน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.แบบที่ภาครัฐดำเนินการจัดหาให้ประชาชนฉีดฟรีประมาณ 6 ล้านโดส (ประชากรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มประกันสังคม และบุคลากรทางการแพทย์) โดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงก่อน และ 2.ภาคเอกชนดำเนินการจัดซื้อเอง ประมาณ 3 ล้านโดส นั่นหมายถึงคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปีละประมาณ 9 ล้านคน หรือคิดเป็น 12-14% ของประชากร ซึ่งในปี 2565 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวประมาณ 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 19% ของประชากรทั้งประเทศ การเตรียมวัคซีนจึงยังไม่เพียงพอ ต่อความต้องการทั้งในกลุ่มเด็กที่เป็นแหล่งแพร่ระบาด และกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป และยังรวมถึงกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง จึงเป็นหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง กับการดูแลสุขภาพของประชาชน และต้องเร่งดำเนินการมากขึ้น

ด้าน ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าวว่า “สำหรับคนที่ไม่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เมื่อติดเชื้ออาจจะมีอาการรุนแรงโดยเฉพาะปอดอักเสบ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือบางรายต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังเช่น โรคหัวใจหัวใจ ไตวาย โรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันแม้ว่าอายุจะน้อยกว่า 60 ปี รวมทั้งอาจพบการติดเชื้อรุนแรงในสตรีตั้งครรภ์ นอกจากนั้นผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ยังอาจพบมีการติดเชื้อร่วมกับเชื้อไวรัสก่อโรคอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น เช่น โควิด-19 ไวรัสอาร์เอชวี และยังมีแบคทีเรียบางตัว เกาะในทางเดินหายใจในคอรอซ้ำเติม เช่น เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส”

“คนที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งหากฉีดวัคซีนก็จะสามารถป้องกันการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ จากสถิติตัวเลขในประเทศไทยพบว่า ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ มากกว่าคนอายุน้อยถึงเกือบ 70 เท่า และผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง เมื่อป่วยไข้หวัดใหญ่และมีปอดอักเสบ พบว่าเสียชีวิตมากกว่าคนอายุน้อย ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังถึงเกือบ 30 เท่า”

สิ่งที่น่าห่วงอีกข้อคือ การทิ้งรอยโรคของผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรง ที่แม้เดิมจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่เมื่อหายป่วยแล้วพบว่า บางรายมักจะมีอาการทรุดลง หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า Deconditioning เช่น ช่วยเหลือตนเองได้ลดลงต้องมีผู้ดูแล หรือผู้สูงอายุที่เดิมช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยได้อยู่แล้ว หลังป่วยหนักทำให้เกิดภาวะผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย แต่ยังกระทบผู้คนรอบข้างเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะดีที่สุด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การป่วยรุนแรง

โดยในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิด คือ ชนิด 3 สายพันธุ์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัคซีนที่ภาครัฐให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง และชนิด 4 สายพันธุ์ ที่ภาครัฐจัดเตรียมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ สตรีตั้งครรภ์ และมีจำหน่ายโดยทั่วไปในโรงพยาบาลเอกชนและคลินิก โดยทั้ง 2 ชนิดให้ผลดี แต่อย่างไรก็ดีด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ วัคซีนแบบชนิด 4 สายพันธุ์ มีการพัฒนาให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำมาใช้สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีจุดด้อยในร่างกาย คือ เมื่ออายุมากขึ้นการตอบสนองวัคซีน ที่ใช้ทั่วไปต่ำกว่าคนอายุน้อย ดังนั้นสำหรับผู้สูงอายุหากต้องการ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรเลือกที่มีประสิทธิภาพครอบคลุม ภายใต้การดูแลของแพทย์

“เราหวังให้ภาครัฐตระหนักถึงกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ นั่นคือมีการเพิ่มจำนวนการฉีด ขยายการฉีดวัคซีนให้เป็นแบบ 4 สายพันธุ์ และเพิ่มงบประมาณการฉีดวัคซีน สู่ประชากรวัยแรงงาน เพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพ ให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง เป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งหากไม่มีการฉีดวัคซีนที่เพียงพอ และเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาส และสูญเสียทรัพยากร กับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา มากเสียยิ่งกว่าการป้องกัน ตามหลักการคำนวณด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข”

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat