สถาบันสุขภาพเด็กฯ ชี้ ไข้เลือดออกในเด็ก อันตรายถึงชีวิต
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ชี้โรคไข้เลือดออกในเด็ก อันตรายถึงชีวิต แนะทำลายแหล่งเพาะพันธุ์-ป้องกันไม่ให้ยุงกัด หากมีอาการควรพบแพทย์ทันที
นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ 5-14 ปี และ 15-24 ปี ในขณะที่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง คือ กลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี มีภาวะอ้วนหรือมีโรคประจำตัว
ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะแปรผันตามฤดูกาล โดยจะเริ่มมีแนวโน้มผู้ป่วยสูงขึ้นในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูฝน ส่วนเดือนตุลาคมจะเริ่มมีแนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่หากช่วงปลายปีจำนวนผู้ป่วยไม่ลดลง อาจทำให้เกิดการระบาดต่อเนื่องได้ โดยไวรัสเดงมี 4 สายพันธุ์ ซึ่งผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่เคยเป็นไปตลอดชีวิต และจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้นประมาณ 3–12 เดือน
แพทย์หญิงประอร สุประดิษฐ ณ อยุธยา นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านไข้เลือดออก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของผู้ที่เป็นไข้เลือดออกจะมีไข้สูงลอย ปวดศีรษะ กระบอกตา กล้ามเนื้อ และกระดูก มีผื่น และอาจมีภาวะเลือดออก ส่วนที่พบบ่อย คือ จุดเลือดออกที่ผิวหนัง รองลงมา คือ เลือดกำเดา และอาเจียนปนเลือด ในรายที่มีภาวะช็อกรุนแรงจะพบตับวาย ไตวาย หรือเลือดออกมากและเสียชีวิตได้ หากพบว่าทารกหรือเด็กเล็กมีอาการไข้ 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไม่มีไอหรือน้ำมูก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและหาเชื้อไวรัส
การป้องกันโรคไข้เลือดอออกที่สำคัญ คือ ป้องกันตัวเองและบุตรหลานไม่ให้ยุงกัดด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย แหล่งน้ำขังในบ้าน ควรติดตามอาการอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ซึม รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน ปวดท้อง แม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้วควรไปพบแพทย์
นอกจากนี้ วัคซีนไข้เลือดออกมีประสิทธิภาพดีและมีความปลอดภัย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันโรคไข้เลือดออก วัคซีนไข้เลือดออกที่มีในประเทศไทยในปัจจุบัน มี 2 ชนิด ชนิดที่ 1 แนะนำให้ฉีดช่วงอายุ 6-45 ปี ในผู้ป่วยที่มีหลักฐาน ยืนยันว่าเคยติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกแล้ว และชนิดที่ 2 แนะนำให้ฉีดในช่วงอายุ 4-60 ปี โดยไม่จำเป็นต้องติดเชื้อมาก่อน
