GSK เตือน โรคงูสวัด ภัยเงียบคนวัย 50 ปี แนะฉีดวัคซีนป้องกัน ช่วยลดความเสี่ยง
GSK จัดประชุมวิชาการ “THE TIME IS NOW: SHINGLES PREVENTION” เพื่อรณรงค์ป้องกันโรคงูสวัด ซึ่งเป็นโรคอันตรายที่ไม่ใช่เฉพาะผื่นผิวหนัง แต่ยังส่งผลต่อระบบประสาท และอาจทำให้มีอาการปวดตามแนวเส้นประสาทยาวนานหลายปี รวมทั้งเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ และจากผลการศึกษาพบว่า วัย 50+ มากกว่า 90% มีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัด และมีอาการรุนแรงและนานกว่าคนอายุน้อย ที่สำคัญโรคงูสวัดเป็นโรคที่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นผู้ใหญ่วัย 50 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับคำปรึกษา จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
พญ. บุษกร มหรรฆานุเคราะห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GSK กล่าวว่า “GSK ในฐานะบริษัท Biopharma ซึ่งมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความสามารถของบุคลากร มาขับเคลื่อนเพื่อให้สามารถก้าวนำ การป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ได้จัดงานประชุมวิชาการ “THE TIME IS NOW: SHINGLES PREVENTION” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และรณรงค์ป้องกันโรคงูสวัด โรคอันตรายที่วัย 50 ปีขึ้นไป ต้องให้ความสำคัญ เพราะอายุที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัด รวมถึงเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดอาการแทรกซ้อนจากโรค บางรายอาจมีอาการปวดปลายประสาทแสบร้อน เป็นเวลายาวนาน ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งโรคงูสวัดเป็นโรคที่มีวัคซีนป้องกัน ผู้ใหญ่วัย 50 ปีขึ้นไปควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ”
โรคงูสวัดคือ โรคที่เกิดจากไวรัส VZV (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส โดยมากกว่า 90% ของผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปและเคยได้รับเชื้อ VZV หรือเคยเป็นโรคอีสุกอีใส จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัด เนื่องจากหลังจากเกิดโรคอีสุกอีใสและอาการของโรคหายดีแล้ว เชื้อไวรัส VZV จะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันตกลง จะทำให้เชื้อไวรัสดังกล่าว กลับมาก่อให้เกิดเป็นโรคงูสวัด
สำหรับคนกลุ่มไหนบ้างที่เสี่ยงต่อโรคงูสวัด ประกอบด้วย
1.กลุ่มผู้สูงอายุ โดยพบว่าคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดงูสวัดสูงขึ้น เพราะอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยลง
2.กลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กลุ่มที่ปลูกถ่ายไขกระดูกหรือปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างโรคเอสแอลอี ผู้ทีติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
ส่วนอาการปวดของโรคงูสวัด เมื่อเกิดโรคงูสวัด เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายตามเส้นประสาทรับความรู้สึก จึงทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทร่วมด้วยเสมอ อาจจะเกิดชั่วคราวหรือจะเกิดรุนแรงจนเป็นถาวร โดยจะมีอาการปวดแสบร้อนบริเวณผิวหนัง มีผื่นแดงขึ้นตรงบริเวณที่ปวดแล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใส มักเรียงกันเป็นกลุ่ม หรือเป็นเเถวยาวตามแนวเส้นประสาท ต่อมาจะแตกออกเป็นแผลและตกสะเก็ด หลังจากผื่นงูสวัดหายแล้ว ยังคงมีอาการปวดแสบปวดร้อนหรือปวดแบบเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทง อาจเป็นตลอดเวลาหรือเป็นๆ หายๆ หรือมีอาการปวดเจ็บแบบแปร๊บ ๆ ตามแนวเส้นประสาท หลังจากที่ผื่นหรือตุ่มน้ำของงูสวัดหายไปแล้ว
ทั้งนี้โรคงูสวัด ไม่ได้มีเฉพาะผื่นผิวหนัง แต่ยังส่งผลต่อระบบประสาท และก่อให้เกิดมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ อาการปวดตามแนวเส้นประสาทหลังการติดเชื้อ พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป บางรายอาจปวดได้นานหลายปี โดย พบว่า 5-30% ของผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด ยังคงมีอาการปวดเส้นประสาทนานเกิน 3 เดือน แม้ว่าผื่นงูสวัดจะหายแล้ว และผู้สูงอายุจะมีอาการที่รุนแรงแ ละนานกว่าคนอายุน้อย และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น นอนไม่หลับ ขยับตัวลำบาก ยกของหนักไม่ได้ อวัยวะบริเวณนั้นไม่มีแรง และขยับหรือ เคลื่อนไหวอวัยวะส่วนนั้นได้น้อยลง
ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่พบได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม ตาอักเสบ แผลที่กระจกตา และภาวะแทรกซ้อนทางหู โรคหลอดเลือดสมอง โรครัมเซย์ฮันท์ซินโดรม เป็นต้น ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ได้รับยาเคมีบำบัด เมื่อเป็นโรคงูสวัดอาจเป็นรุนแรงและแพร่กระจายได้ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบน้อย เช่น สมองและปอดอักเสบ
โรคงูสวัดสามารถป้องกันได้โดยดังนี้
1.การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2.การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
3.การออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
4.การรับการฉีดวัคซีนป้องกัน