กรมการแพทย์ เตือน มะเร็งตับ มักไม่แสดงอาการในระยะแรก
หากตรวจพบช้ายากต่อการรักษา แนะ รับวัคซีน ตรวจคัดกรองเป็นประจำ เลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
วันนี้ (13 ส.ค. 67) นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า มะเร็งตับเกิดจากการกลายพันธุ์และการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ตับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของตับมาก่อน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การดื่มสุรา หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี หรือภาวะไขมันพอกตับ อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือไขมันพอกตับ อาจเกิดมะเร็งตับได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีภาวะตับแข็งนำมาก่อน
จากข้อมูลมะเร็งในภาคใต้ปีงบประมาณ 2564-2566 พบว่า มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบมากใน 10 อันดับแรกของภาคใต้ อีกทั้งโรคมะเร็งตับมักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการในระยะกลาง-ระยะสุดท้าย ทำให้ยากต่อการรักษา อัตราการเสียชีวิตจึงค่อนข้างสูง แต่หากได้รับการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและเพิ่มโอกาสการหายขาดได้
แพทย์หญิงนิธิมา ศรีเกตุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี กรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งตับพบมากในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ประมาณ 2 เท่า มักพบในกลุ่มอายุ 30-70 ปี สาเหตุส่วนใหญ่สัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี ผู้ป่วยตับแข็ง และผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์จัด นอกจากนี้ สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่มีอันตรายมากชนิดหนึ่งที่มาจากเชื้อรา มักพบปนเปื้อนอยู่ในอาหารจำพวกถั่วลิสงแห้ง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เมล็ดฝ้าย ข้าวฟ่าง และมันสำปะหลัง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้
ทั้งนี้ หากมีอาการบ่งชี้ของโรคมะเร็งตับ เช่น คลำพบก้อนบริเวณชายโครงด้านขวา มีอาการปวดท้องใต้ชายโครงขวา ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องโตขึ้น เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดบีให้กับเด็กตั้งแต่แรกคลอด แต่สำหรับประชาชนที่เกิดก่อนปี 2535 ซึ่งยังไม่มีการผลิตวัคซีนดังกล่าว สามารถไปเจาะเลือดเพี่อคัดกรองไวรัสตับอักเสบชนิดบีและชนิดซีได้ฟรีที่โรงพยาบาลใกล้บ้านตามนโยบายมะเร็งครบวงจรของกระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์อรรถวิทย์ พานิชกุล แพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับโรงพยาบาลมะเร็งสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับที่เข้ามารับการรักษามักมาด้วยอาการที่รุนแรงหรืออาจจะลุกลามไประยะสุดท้าย ซึ่งมีความยากที่จะรักษาให้หายขาดและอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ แนะนำให้ตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงอาจต้องตรวจอัลตร้าซาวด์ตับทุก 6 เดือน ตามข้อวินิจฉัยของแพทย์ การดูแลตนเองด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่