HEALTH

สุขภาพดีอย่างยั่งยืน ด้วยหลัก 5 ข้อ

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพ และส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก เผยข้อมูลการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ด้วยหลัก 5 ข้อ ซึ่งถือเป็นหลักการดูแลสุขภาพคนไทย ให้ไร้โรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะกลุ่มโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี พ.ศ.2565 ผู้เสียชีวิตทั่วโลก จากกลุ่มโรค NCDs สูงถึง 74% หรือ คิดเป็นจำนวน 45 ล้านคนทั่วโลก และในรายงานนี้คนไทย เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs สูงถึง 77% มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก หรือนับเป็นจำนวนเท่ากับ 380,400 คนต่อปี หรือ มีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs สูงถึง 44 คน ต่อชั่วโมง ซึ่งโรคดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การใช้ชีวิต และการบริโภคสินค้าตามกระแสนิยม

อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ยิ่งเป็นตัวเน้นย้ำให้เห็นถึง อันตรายของโรคติดต่อเรื้อรัง เมื่อองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนที่ติดเชื้อโควิด19 มีโอกาสเสียชีวิต และเจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าคนปกติ 7 เท่า,โรคหลอดเลือดสมอง 3.9 เท่า,โรคเบาหวาน 3 เท่า,โรคหลอดเลือดหัวใจ 2.9 เท่า,และโรคความดันโลหิตสูง 2.3 เท่า

นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินอาหารที่มากเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก การสูบบุหรี่ การเคลื่อนไหวร่างกายที่น้อยลง รวมไปถึงปัญหาความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ และมลภาวะทางอากาศ ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ต้องอาศัยแนวทางการมี พฤติกรรมสุขภาพดีที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Wellness

หลักการง่ายๆที่ช่วยให้ทุกคน มีพฤติกรรมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน มี 5 ข้อนี้ ได้แก่ 1.อาหารจากพืช 2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3.อากาศดี 4.การนอนหลับที่ดี และ 5.กิจกรรมจิตอาสา ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อโลกของเราอีกด้วย”

1.อาหารจากพืชคือ อาหารที่ยั่งยืน การเกษตรเชิงอุตสาหกรรม (Industrial agriculture) ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพดิน เกษตรกรรมเชิงอุตสาหกรรม ได้ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในดิน ดูดเอาสารอินทรีย์ และแร่ธาตุออกจากดิน ไปด้วยการทำฟาร์มแบบรุกราน สิ่งเหล่านี้ทำให้ที่ดินเพาะปลูกหลายแห่ง กำลังเผชิญกับปัญหาคุณภาพดินที่ลดลง ส่งผลให้จุลินทรีย์ที่ดี เข้าสู่ลำไส้ของเราน้อยลง รวมถึง วิตามิน และแร่ธาตุ ก็เข้าสู่ร่างกายของเราน้อยลงเช่นกัน

จากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ใน International Journal of Food Sciences and Nutrition ปี พ.ศ. 2564 เปรียบเทียบปริมาณแร่ธาตุในผัก และผลไม้ของสหราชอาณาจักร พบว่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ปริมาณแร่ธาตุในผักและผลไม้ลดลงอย่างมาก โดยธาตุเหล็กและทองแดงลดลง มากถึงประมาณ 50 %,แมกนีเซียมลดลง 9.7%,โพแทสเซียมลดลง 4.7%,และแคลเซียมลดลง 2.5%,เช่นเดียวกับการศึกษาที่คล้ายกันในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2547 ใน Journal of the American College of Nutrition นักวิจัยตรวจสอบสารอาหารในพืชผล 43 ชนิด เปรียบเทียบกับที่มีการบันทึกไว้เมื่อปี พ.ศ.2493 ของ U.S. Department of Agriculture พบว่า โปรตีน แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามิน B2 และ C ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าโดยเฉลี่ยแล้วหากทุกคน รับประทานอาหาร ที่มีพืชเป็นส่วนประกอบ (Plant-based diet) มากขึ้น และหยุดการปล่อยมลพิษจากภาคส่วนอื่นๆ มีโอกาสสูงถึง 50% ที่จะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้ 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันไว้ และหากปรับปรุงระบบการผลิตอาหารออกไปในส่วนต่างๆ เช่น การลดขยะอาหาร (food waste) โอกาสที่จะทำข้อตกลงได้สำเร็จจะเพิ่มขึ้นเป็น 67 %

สำหรับประเทศไทยเอง การหันมาหาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม อย่างการบริโภคพืชผักสวนครัว ที่หาได้ตามท้องถิ่น หรือผักผลไม้ตามฤดูกาล ช่วยสนับสนุนแนวทาง การรับประทานอาหารสุขภาพแบบยั่งยืนได้ เพราะสามารถลดการใช้น้ำ สารเคมี และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากกระบวนการผลิตและการขนส่ง อีกทั้งการรับประทานอาหาร พื้นบ้านแบบไทยๆ ที่อุดมไปด้วยผักและสมุนไพรหลากหลายชนิด ยังให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระสูง และยังผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยอีกด้วย

2.ออกกำลังกาย หรือ กิจกรรมทางกายที่ยั่งยืน (Exercise and Sustainable Physical Activity)
การมีพฤติกรรมสุขภาพดีแบบยั่งยืน ยังรวมถึงกิจกรรมทางกายด้วย นิยามการออกกำลังกายอย่างยั่งยืน นั้นกว้างกว่าการออกกำลังกาย เพื่อประโยชน์ทางด้านสุขภาพ โดยไม่ได้คำนึงแค่เพียงระยะเวลา ความหนัก และความถี่ที่เพียงพอ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการไม่บริโภคอาหารหรืออาหารเสริมมากเกินไป การใช้สถานที่ออกกำลังกายและอุปกรณ์ เท่าที่จำเป็น หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางในชีวิตประจำวัน อย่างการเดินเท้า วิ่ง ปั่นจักรยาน เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา (carbon footprint)

การเดินทางแบบใช้แรงกายตัวเองเป็นหลัก (Active transportation) เช่น การเดิน การขี่จักรยาน การพายเรือ เป็นรูปแบบการเดินทาง ที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน (carbon-free) และเพิ่มโอกาสในการออกกำลังกาย ช่วยสร้างเสริมสุขภาพในทุกช่วงอายุ ในรายงานปี พ.ศ. 2554 ตีพิมพ์ในวารสาร Environment International พบว่าการเดินทางแบบใช้แรงกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณ 11% รวมถึงลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็งบางชนิด

การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ ยังมีส่วนช่วยชะลอการสั้นลงของเทโลเมียร์ (Telomere) โดยเทโลเมียร์เป็น DNA ส่วนปลายสุดของโครโมโซม สามารถบ่งชี้อายุของเซลล์ในร่างกาย (Biological age) และบอกภาวะเสื่อมของเซลล์ (Degenerative status) ซึ่งหากความยาวเทโลเมียร์สั้น ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และแก่ชราก็เพิ่มมากขึ้น งานวิจัยจาก National Health and Nutrition Examination Survey ที่ถูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2560 ในผู้ใหญ่ชาวอเมริกันจำนวน 5,823 คน พบว่าหากมีการใช้พลังงาน ของการออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ มากกว่า 1000 METs (Metabolic Equivalent of Task) อย่างเช่น การวิ่ง เป็นเวลา 30 หรือ 40 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถลดการสั้นลงของเทโลเมียร์ และลดอายุของเซลล์ได้ 9 ปี เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

สอดคล้องกับรายงาน ของ Mintel ในเรื่องพฤติกรรมการเดินทาง ของผู้คนเปลี่ยนไปมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้คนกังวลถึงเรื่องความปลอดภัย ความสะอาดในระบบขนส่ง สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้มีแนวโน้มหันไปใช้การเดินเท้า หรือการปั่นจักรยาน แทนการใช้รถ เพื่อเพิ่มกิจกรรมทางกาย และทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

3.อากาศดี ทั้งนี้อากาศที่เราหายใจ เป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น เกิดเหตุการณ์ความร้อนที่รุนแรง บ่อยครั้งและยาวนานมากขึ้น วงจรการหมุนเวียนอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาวะโลกร้อน ยังส่งผลให้คุณภาพอากาศแย่ลง อากาศที่ไม่ดีนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการระคายเคืองที่ตา จมูกและคอ อาการไอ อาการภูมิแพ้ การหายใจลำบาก หรือถ้าแย่ไปกว่านั้นก็คือ ส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งในระยะยาวมลพิษทางอากาศ เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด และยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอีกด้วย

การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็น การไม่สูบบุหรี่ การลดการบริโภคอาหารแปรรูป หรือหลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุของภาวะโลกร้อน และลดการสร้างฝุ่น PM2.5 และ PM10 จากเครื่องยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้อากาศสะอาด ลดความเสี่ยงต่อโรคระบบ ทางเดินหายใจต่างๆ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่เฉพาะแค่ตัวเรา แต่รวมไปถึงครอบครัว และผู้คนอื่นๆบนโลกอีกด้วย

4.การนอนหลับที่ดีและยั่งยืน แม้การนอนหลับจะดูเป็นสิ่ง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่ขณะตื่นนอน มนุษย์จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร พลังงานไฟฟ้า และเชื้อเพลิง สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับช่วงเวลาของการตื่นนอน ยิ่งมนุษย์เรานอนหลับน้อยลงมากเท่าใด ก็ยิ่งเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น

5.กิจกรรมอาสา ช่วยสร้างอารมณ์แห่งความสุข ดังนั้นกิจกรรมจิตอาสา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ การเก็บขยะตามแม่น้ำลำคลอง ชายหาด หรือท้องถนน การช่วยคัดแยกขยะของชุมชน รวมไปถึง กิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักรู้ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกับส่งต่อความรู้ที่ถูกต้อง มีการศึกษาระบุว่า เมื่อทำกิจกรรมจิตอาสา mesolimbic system หรือ reward pathway ในสมองจะถูกกระตุ้น ซึ่งระบบนี้ตอบสนองต่อรางวัลตามธรรมชาติ โดยการปล่อยสารสื่อประสาทที่ให้ความรู้สึกดี เช่น Dopamine, Oxytocin, Serotonin, และ Endorphins (DOSE) ส่งผลทางบวกต่ออารมณ์ของเรา

“การที่คนมีสุขภาพที่ดี จะช่วยเอื้อต่อการพัฒนาทางสังคม เพราะถ้าคนแข็งแรง เจ็บป่วยน้อย ก็จะเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ ประกอบกับถ้าสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมดี อากาศสะอาด อาหารสุขภาพเข้าถึงได้ง่าย ก็ช่วยส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น”

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat