แพทย์ เผย หมอนรองกระดูกยื่น และกระดูกเคลื่อน รักษาต่างกัน หาสาเหตุเพื่อรักษาได้ตรงจุด
นพ.ธนวัฒน์ อุณหโชค แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ภาวะหมอนรองกระดูกยื่น และกระดูกสันหลังเคลื่อน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังเหมือนกัน แต่การรักษาจะต่างกัน ซึ่งการหาสาเหตุของโรค จะนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุด
นพ.ธนวัฒน์ เผยว่า ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือ Lumbar spondylolisthesis เป็นภาวะที่มีการเคลื่อนของกระดูกสันหลังข้อหนึ่งไปด้านหน้า หรือด้านหลังมากกว่าปกติ ส่วนมากมักพบบริเวณกระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่ 4 และข้อที่ 5 เนื่องจากข้อกระดูกสันหลังส่วนนี้ จะต้องแบกรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของร่างกาย ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันออกไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการปวดหลังบริเวณส่วนล่าง และจะมีอาการแย่ลงหลังการออกกำลังกาย โดยเฉพาะเมื่อมีการบริหารกระดูกบั้นเอว และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย โดยอาการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1.อาการที่บริเวณหลัง จะปวดหลังเรื้อรัง และมักเกิดในขณะที่มีการเคลื่อนไหวของหลัง ที่มีการขยับหลังมาก เช่น การก้ม เงย หรือเดิน
2.อาการที่ขา ปวด ชา ล้า หนักที่บริเวณสะโพก หรือต้นขา 2 ข้าง อาการจะเป็นมากขณะเดิน และจะดีขึ้นเมื่อมีการก้มโค้งหลัง หรือได้นั่งพัก ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกว่าระยะทาง ที่เดินได้จะสั้นลงเรื่อยๆ หากโพรงประสาทตีบแคบมาก อาจทำให้การควบคุมระบบขับถ่ายเสียได้
ขณะที่สภาวะหมอนรองกระดูกยื่น เกิดจากหมอนรองกระดูก ที่อยู่ระหว่างกระดูกทั้ง 2 ข้อ ปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดคอหรือหลัง หากมีการกดทับมากอาจเสี่ยงต่อความพิการได้ โดยอาการที่แสดงอย่างเด่นชัด คือ อาการปวด ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายก็จะมาด้วยตำแหน่งของการปวดที่ต่างกันไป เช่น ปวดหลังล่าง ปวดบริเวณบั้นเอว หรือสะโพกร้าวลงขา ชา หรือเสียวเหมือนไฟช็อตร้าวลงขา ปวดคอ แขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง มีปัญหาขณะก้มยกของ หรือทรงตัว หากเส้นประสาทถูกกดทับนาน จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และระบบขับถ่ายมีปัญหา
แม้ว่าอาการของทั้งสองโรคนี้ จะดูคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก แต่ที่ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์เนิร์ฟ มีวิธีการวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกยื่น หรือโรคกระดูกสันหลังเคลื่อน ได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง จะทำการตรวจประเมินร่างกายเบื้องต้น ซักประวัติผู้ป่วยร่วมกับการทำ X-ray และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI เพื่อให้แพทย์นำมาใช้ในการวินิจฉัยอาการ และยืนยันความผิดปกติที่เกิดขึ้น ตลอดจนสามารถวางแผน การรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด
ทั้งนี้การรักษาหมอนรองกระดูกยื่น เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดหลัง และรับประทานยาแก้ปวดนานเกิน 1 เดือนแล้วและอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาทำการรักษา ด้วยวิธีการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยกล้องเอ็นโดสโคป หรือการเจาะรูส่องกล้อง ด้วยเทคนิค PSLD (Percutaneous Stenoscopic Lumbar Decompression) ที่บริเวณหลัง หรือ เทคนิค PSCD (Percutaneous Stenoscopic Cervical Decompression) ที่บริเวณคอ ซึ่งทั้งสองเทคนิคนี้จะใช้อุปกรณ์ ที่มีเลนส์กำลังขยายสูง ที่ติดอยู่ที่บริเวณปลายกล้องเอ็นโดสโคป เปรียบเสมือนดวงตาของแพทย์ ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน แม่นยำ และปลอดภัย สามารถรักษาเฉพาะส่วนที่มีปัญหาโดยที่ไม่ต้องตัดเลาะกล้ามเนื้อส่วนที่ดีออก ทำให้แผลเล็ก เจ็บน้อย ปลอดภัย ฟื้นตัวเร็ว การรักษาด้วยวิธี MIS-Spine นี้จึงเป็นเรื่องง่ายและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วย เพราะพักฟื้นเพียงแค่ 1 คืนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ส่วนการรักษาโรคกระดูกสันหลัง เคลื่อนทับเส้นประสาท หรือกระดูกทับเส้น ด้วยเทคนิคการยึดน็อตแบบ TLIF คือ การเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง เพื่อหยุดการเคลื่อน ของกระดูกสันหลังของผู้ป่วย และเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม ในผู้ป่วยที่หมอนรองกระดูกเสื่อม ซึ่งในสมัยก่อนจะต้องทำการผ่าตัดแบบเปิดแผล หลังจากนั้นวงการแพทย์ ได้มีการพัฒนามาทำการผ่าตัด ด้วยเทคนิค MIS TLIF ด้วยการใส่ท่อแล้วเลาะกล้ามเนื้อออกบางส่วน หลังจากนั้นจึงใส่หมอนรองกระดูกเทียมเข้าไป แต่ล่าสุดด้วยเทคโนโลยีใหม่ ทำให้การรักษาโรคกระดูก เคลื่อนทับเส้นประสาทมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่ดีต่อผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังสามารถลดอาการปวดแผลของผู้ป่วยลง เมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิมหลายเท่า ด้วยเทคนิค Full Endo TLIF (Full Endoscopic TLIF) คือ การใช้กล้องเอ็นโดสโคป เพื่อใส่หมอนรองกระดูกเทียมเข้าไป และทำการเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Interbody Fusion) ด้วยสกรูแบบเจาะรู (Percutaneous Screw) ซึ่งวิธีนี้จะตัดกล้ามเนื้อน้อยที่สุด ทำลายโครงสร้างของกระดูกสันหลังน้อยมาก ความเสี่ยงต่ำ และแตกต่างจากเทคนิคเดิม อีกทั้งยังสามารถลดขนาดของบาดแผล และให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้การเจาะและใช้อุปกรณ์ ร่วมกันภายในรูเดียว หรือแบบ Full Endo TLIF (Full Endoscopic TLIF) ซึ่งวิธีนี้จะใช้อุปกรณ์กล้องที่มีความพิเศษสูง โดยมีช่องสำหรับใส่เครื่องมือ เพื่อเข้าไปทำการรักษา โดยการนำหมอนรองกระดูกที่มีปัญหาออก และยังสามารถเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียมได้ภายในรูเดียว โดยที่เครื่องมือนั้นไม่เข้าไป ทำลายกล้ามเนื้อโดยตรง บอบช้ำน้อยกว่าการใช้อุปกรณ์แบบ 2 รู และการรักษาด้วยวิธีนี้ ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นเครื่องมือ ในการรักษาตลอดเวลา และใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังทำการรักษาผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก และภายใน 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถเดินได้คล่องขึ้น