‘พาณิชย์’ คาดตลาดอินเดียปี 68 โตสูง แนะผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ FTA เร่งเจาะตลาดอินเดีย
‘พาณิชย์’ จับตาหลังนายกฯ อินเดีย ชนะเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 คาดตลาดอินเดียโตอันดับ 4 ของโลกในปี 68 แนะผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ FTA เร่งเจาะตลาดออนไลน์-ออฟไลน์อินเดีย
วันนี้ (10 มิ.ย. 67) เวลา 11.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้า จากการที่ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดียจากพรรค BJP ชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งอินเดียเป็น 1 ใน 10 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่ไทยจะดำเนินการนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก
นายพูนพงษ์ รายงานว่าภายใต้การบริหารประเทศของนเรนทรา โมดี ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกด้วย GDP ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 8.2 ในปีงบประมาณ 2566–2567 (เมษายน 2566 – มีนาคม 2567) ที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยขยายตัวสูงกว่าที่รัฐบาลอินเดียคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.6 และเมื่อครั้งที่นเรนทรา โมดี เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 2557 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในขณะนั้นขยายตัวสูงอยู่ที่ร้อยละ 7.4 เช่นกัน
การที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย จะไม่ส่งผลกระทบในการกำหนดทิศทางนโยบายด้านต่างประเทศและการค้าต่างประเทศในระยะยาว ซึ่งคาดการณ์ว่ารัฐบาลอินเดียจะยังคงนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศไว้ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก เนื่องจากพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance: NDA) ประกอบด้วยพรรค BJP ของนเรนทรา โมดี และพรรคแนวร่วมที่สำคัญ โดยเฉพาะพรรค TDP และพรรค JDU เองก็มีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน
ที่ผ่านมาอินเดียดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและเป็นเอกเทศ สนับสนุนโลกหลายขั้วอำนาจ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ส่งผลดีต่ออินเดียอย่างชัดเจนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงกว้างระหว่างจีนและสหรัฐฯ นำไปสู่การยกระดับอินเดียสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตของโลกแทนที่จีน และพาอินเดียเป็นมหาอำนาจเกิดใหม่ (Emerging Power)
นอกจากนี้ อินเดียเพิ่งเริ่มใช้นโยบายด้านการค้าต่างประเทศใหม่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 ทำให้อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยเพื่อสนับสนุนปรัชญา “อัตมานิรภาร์ ภารัต” (Atmanirbhar Bharat) หรือนโยบายพึ่งพาตนเองของอินเดีย ในการส่งเสริมสินค้าอินเดียในตลาดห่วงโซ่อุปทานโลก ช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการส่งออกโลก มุ่งเน้นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ทั้งสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร โอมาน ศรีลังกา ออสเตรเลีย และเปรู
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อินเดียลงนามความตกลง FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งผลการดำเนินนโยบายการค้าต่างประเทศที่แข็งแกร่งของอินเดียสะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการส่งออกของอินเดียที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีงบประมาณ 2566–2567โดยการส่งออกสินค้าและบริการของอินเดียรวมกันมีมูลค่าสูงกว่า 776.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) คาดว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2568 รองจากสหรัฐฯ จีน และเยอรมนี โดยอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย 10 ประเทศสำคัญที่ไทยจะดำเนินการนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งผลักดันการใช้สิทธิ์ภายใต้ความตกลง FTA ที่ไทยมีกับอินเดียทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ ไทย-อินเดีย และ อาเซียน-อินเดีย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ส่งออกและผู้ประกอบการไทย รวมถึงผลักดันสินค้าไทยให้สามารถจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ของอินเดีย
ปี 2566 อินเดียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 11 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวม 16,044.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 555,217 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของการค้ารวมของไทยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และเหล็ก สินค้านำเข้าสำคัญจากอินเดีย ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์
