CRIME

ผบ.ตร. มั่นใจสรุปสำนวน ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ทัน เผย กำลังรวบรวมหลักฐานผู้ต้องหาล็อต 2

วันนี้ (22 ต.ค. 67) ที่กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ภายหลังร่วมประชุมกับคณะทำงานของตำรวจสอบสวนกลาง โดยเปิดเผยว่า ภายหลังจับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ล่าสุดอยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสองเส้นทางการเงินการ และวิเคราะห์บัญชีการเงิน รวมถึงการสอบสวนประเด็นอื่นๆ แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายความผิดฐานใดอีกบ้าง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้น 11 จุด ล้วนเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ ตั้งแต่ระดับพนักงานและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ซึ่งยืนยันว่า ไม่ใช่กลุ่มญาติหรือภรรยาของผู้ต้องหา โดยปฏิบัติการขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจค้น และยังไม่ได้รับรายงาน แต่เบื้องต้นจะเก็บข้อมูล และหลักฐานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคดีหากเกี่ยสข้องถึงใครจะดำเนินคดีไม่มีละเว้น ส่วนความคืบหน้าการออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาชุดใหม่ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อว่า ในไม่ช้านี้ จะสามารถดำเนินการได้ พร้อมย้ำว่า ไม่ว่าใครจะอยู่ระดับไหนก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด

ส่วนการแบ่งแยกระหว่างตัวผู้เสียหายที่อาจจะเป็นแม่ข่ายหรืออาจจะเป็นผู้ต้องหาเองนั้น ผบ.ตร. ระบุว่า ได้กำชับพนักงานสอบสวน และทีมวิเคราะห์ จำเป็นต้องทำการสอบสวนตามขั้นตอน และกระบวนการ ซึ่งให้เชื่อว่าคือผู้เสียหาย เพราะถือว่าเป็นสิทธิ์ แต่ย้ำว่าหากพบข้อเท็จจริงหรือพยานหลักปรากฎปรากฏว่ากลายเป็นผู้มีส่วนร่วมนั้น ก็จะต้องถูกดำเนินคดี ดังนั้นขอย้ำว่าการดำเนินการในด้านนี้ “ต้องผ่านการวิเคราะห์ในเรื่องของพยานหลักฐาน”

ส่วนกรณีคลิปเสียงที่มีการเผยแพร่ลักษณะมีการเรียกรับผลประโยชน์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลหาหลักฐานทั้งหมด ซึ่งรู้ตัวแล้วว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เนื่องจากมีการสอบปากคำบอสพอลในเรื่องนี้อย่างละเอียดอย่างแล้ว โดยยืนยันว่า คลิปนั้นคือเสียงของตนเอง และหากพบว่าเป็นบุคคลใด และมีหลักฐานปรากฏว่าชัดเจนในการกระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชน จะดำเนินคดีไม่ละเว้น แม้แต่เพียงรายเดียว ต่อให้เป็นตำรวจยศนายพันก็ตาม และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่หนักหนักใจ

อีกทั้ง หากบุคลคนที่อยู่ในคลิปเสียงจะออกมาแสดงตน ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถจะออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้เผยแพร่คลิปเสียงได้ แต่หากพบว่าบุคคลดังกล่าวนั้นมีการกระทำความผิดก็จะต้องยอมรับในการที่จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีบุคคลที่ใหญ่กว่าบุคคลที่ปรากฏในคลิปเสียงหรือไม่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป มีการเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า ยังไม่พบ แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ พร้อมย้ำว่า ทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจะมีการตรวจสอบและสอบสวนในทุกเรื่อง

ส่วนกรณีบัตรประชาชนของบอสพอลตกหล่นจากเลข 3 เป็นเลข 5 นั้น พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า สำหรับเรื่องข้อมูลเลขบัตรประชาชนของบอสพอลที่มีขึ้นต้นด้วยเลข 5 นั้น เบื้องต้นได้มีการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่าเป็นการแจ้งตกหล่นในการสำรวจ และมีการเพิ่มชื่อทีหลัง แต่ยืนยันว่าเป็นคนไทยยังไม่พบว่าเป็นต่างด้าว อย่างไรก็ตามก็จะต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า กรณีบุคคลอื่น เช่นพิธีกร หรือพระ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะยาวในการตรวจสอบเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนหากพบข้อมูลว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดก็ดำเนินคดีเช่นเดียวกันพร้อมย้ำกระแสข่าวมีการโอนเงินให้กับพระมหาวุฒิชัย จะต้องทำการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินว่ามีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในส่วนไหน จะผิดหรือไม่อยู่ในการสืบทรัพย์ และหากเงินทำบุญมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดก็สามารถดำเนินการอายัดทรัพย์ได้

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังกล่าวถึงประเด็นการตรวจสอบเงินโยกย้ายเงินแปลงสกุลเงินคริปโต เป็นอิเธอร์เรียม ตามที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด นำพยานที่อ้างว่าได้ข้อมูลมาจากคนใกล้ชิดในบริษัทดิไอคอนมาให้ปากคำกับตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งเมื่อวานนี้มีการสอบสวนทั้งหมดแล้ว พร้อมย้ำว่า ผู้นำเสนอข่าวในรายการต่างๆ และผู้หวังดี เข้าใจว่าเป็นผลดีต่อประชาชนอยากให้คัดกรองก่อนเผยแพร่ เพราะจะทำให้สังคมไขว้เขว ซึ่งเราอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดียประชาชนที่รู้เรื่องอาจมีความเชื่อว่าเป็นเช่นนี้ว่าทำไมตำรวจปล่อยให้มีการถ่ายโอนทรัพย์สินไป จึงขอย้ำว่า “ข้อเท็จจริงใครที่พูดแล้วไม่ใช่ข้อเท็จจริงเอาข้อมูลอันเป็นเท็จออกเผยแพร่ต่อพี่น้องประชาชน โดยต้องการ เวทีสาธารณะต้องรับผิดชอบในข้อมูลอันเป็นเท็จที่เผยแพร่ต่อด้วย“

ส่วนประเด็นภรรยาของนายกันต์ กันตถาวร อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ขณะนี้อยู่ในประเทศไทยยังไม่เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังฝากไปถึงกลุ่มแม่ข่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ที่เริ่มทยอย ยักย้ายทรัพย์สินหลบหนีว่า ยิ่งเคลื่อนไหวก็ยิ่งมีมีความผิด ซึ่งจะเป็นหลักฐานที่ปรากฏพฤติกรรมในทางคดีอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ล็อตแรก เชื่อว่าจะทันเวลา 48 วัน และไม่มีความกังวลใจ เพราะอยู่ในกรอบเวลาของการทำงานอยู่แล้ว

Related Posts

Send this to a friend