หย่าศึกแล้ว! ’ผบ.ตร. – รองโจ๊ก‘ แถลงข่าว ปมความขัดแย้งภายใน ตร.
หย่าศึกแล้ว! ’ผบ.ตร. – รองโจ๊ก‘ แถลงข่าว ปมความขัดแย้งภายใน ตร. หลังเข้าพบนายกรัฐมนตรี ชี้ สำนวนคดีเว็บพนัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และลูกน้อง ให้ ป.ป.ช. ดูแลทั้งหมด ย้ำ เมื่อ ผบ.ตร. สั่งเคลียร์ ทุกอย่างต้องจบ ยัน เรื่องนี้ ไม่ใช่ สตช. การละคร
วันนี้ (20 มี.ค. 67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเข้าพบ นายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ระบุว่า วันนี้ได้มีการเชิญสื่อมวลชนเพื่อมารับทราบข้อมูลเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในการเสนอข่าวและเพื่อไม่ให้เป็นการสับสนเพราะเป็นภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตนในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าภาพที่ปรากฏออกไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจ ในการดำเนินการต่างๆ หลากหลายความคิด
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเรื่องคดีจากนี้ไปคดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด จะส่งให้ ป.ป.ช. ทำคดีทั้งหมด เพื่อให้เป็นคนกลางในการทำให้เกิดความยุติธรรมซึ่งได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกล่าวถึงภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่า “คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที” ส่วนตัวเคยพูดเสมอว่ามีการพูดคุยกับรองสุรเชษฐ์ตลอด บางทีไม่ได้เจอก็คุยผ่านลูกน้องตลอด ภาพเราไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพูดเสมอว่าเราจะต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า เรื่องการส่งมอบคดีให้ ป.ป.ช. เป็นคนดำเนินการทั้งหมด ซึ่งตนเป็นคนคิด และตัดสินใจ โดยโทรศัพท์ไปหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อชวนไปพบนายกรัฐมนตรี จากนั้น ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ รวมสำนวนคดีเว็บพนันทั้ง สน. เตาปูน และสน.ทุ่งมหาเมฆ ไปให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ เพื่อความความยุติธรรม และไม่เกิดภาพของความขัดแย้งขึ้นอีก รวมทั้งเรื่องนี้ต้องไปเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการยุติธรรมอีกหลายหน่วยงานที่ต้องเข้ามาตรวจสอบเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และได้มาตรฐานที่สุด
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า วันนี้ ผบ.ตร.ได้พาตนไปพบกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่ง ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะหยุดความขัดแย้งทั้งหมดภายในองค์กร เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องกลับมาตั้งแต่ รอง ผบ.ตร.หมายเลข 1 ลงไป จนถึงชั้นประทวนทุกคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้บังคับบัญชาคนเดียว คือ ผบ.ตร. ฉะนั้น นายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. และตนเอง มีความคิดเดียวกันคือต้องทำงานเดินหน้าให้ประชาชน
ส่วนสำนวนการสอบสวนเหมือนที่ ผบ.ตร.ได้บอกไป การพูดคุยในช่วงเช้าตนก็อยู่ด้วย ซึ่ง ผบ.ตร. เป็นคนเรียนนายกรัฐมนตรีเองว่าสำนวนเกี่ยวเนื่องทั้งหมด และจัดส่ง ป.ป.ช.ทั้งหมด
ทั้งนี้ ขอเรียนในฐานะที่เคยทำงานด้านการสืบสวนสอบสวนถึงเรื่องหมายจับ และหมายเรียกว่า เมื่อมาถึง ป.ป.ช. ต้องเป็นกระบวนการของ ป.ป.ช. ส่วนจะมีการออกหมายเรียกหรือหมายจับหรือไม่นั้น ต้องเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการของกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่อง เดิมเรื่องเก่าเราต้องไม่พูดคุยแล้ว เราต้องเดินหน้าทำงานให้ประชาชนอย่างเดียว วันนี้ผมเองก็ต้องทำงานช่วยผบ.ตร. ทำงานขับเคลื่อนอย่างเดียว และการที่นัดแถลงวันนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปจะไม่มีความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น และสื่อมวลชนก็ต้องช่วยด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ผบ.ตร.เอง ก็ มีแนวคิดชัดเจนมั่นคงในการรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ว่าจะนำพาองค์กรให้มีความสามัคคี และทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวย้ำว่า เราไม่ได้มีความขัดแย้งกันเลย เราฟังจากสื่อ และจากวันนี้ไปสื่อ และโซเชียล ไม่ได้มาจากตน และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
“มันก็มีคนที่อยากให้เกิดความขัดแย้ง พี่น้องสื่อเองที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็แบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายใช่หรือไม่? พี่อยากให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทำไมสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนอีกตั้งเยอะแล้วทำไม ไม่โฟกัสพวกพี่เรื่องนี้ มัวแต่ไปโฟกัสเหมือนกับว่าพวกพี่ขัดแย้งกัน พี่ไม่เคยไปขัดแย้งกับใคร การจะเตะสกัดขา ทำไมพี่ต้องเตะบิ๊กโจ๊ก พี่เป็น ผบ.ตร. จากนี้ไปหากโลกโซเชียลมีมุม เราขัดแย้งกันขอยืนยันว่ามันไม่ใช่จากพี่หรือจากบิ๊กโจ๊กเลย แสดงว่าต้องมีขบวนการที่จะทำแบบนี้ แล้วพี่น้องประชาชนจะได้อะไรจากการที่เป็น ผบ.ตร. กับ รอง ผบ.ตร. หรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงไม่ทำอะไร หากเป็นแบบนี้พี่รับไม่ได้” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า หากถามว่าเครียดหรือไม่ ยอมรับว่าเครียด แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามประนีประนอม ไม่ให้เกิดภาพของความขัดแย้ง อยากให้ลูกน้องมีความสุข และมีขวัญกำลังใจเพราะเราโดนกระโทกกระแทกมา แต่ไม่อยากให้เป็นประเด็น ไม่อยากให้ท่านนายกฯกระทบด้วย ก่อนจะบอกว่า ท่านนายกฯขยันจะตาย ท่านไม่ได้หยุดเลยวันเสาร์อาทิตย์ ทำงานทุกวันจึงไม่อยากให้อยากเอาเรื่องพวกนี้ไปให้ท่านไม่สบายใจ และตนก็ไม่สบายใจจึงตัดสินใจไปพบนายกฯ ซึ่งคดีทั้งหมดจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เราจะไม่เป็นเครื่องมือของใคร เราจะเป็นเครื่องมือของพี่น้องประชาชนตนอยากทำงานเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 194-195 วัน เข้าสู่การนับเวลาถอยหลังซึ่งตนอยากทำทุกวันให้ดี
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายถึงการถูกออกหมายเรียกล่าสุด ข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ว่า ตามกฎหมายล่าสุด ผบ.ตร. มีนโยบายส่งสำนวนทุกเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ส่วนการออกหมายเรียกข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ขอเรียนว่าตอนนั้นตนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ แต่วันนี้หลักการรับหมายตาม ป.วิอาญา เจ้าตัวต้องรับหมาย หรือพ่อ แม่ และญาติรับ จะไปฝากไว้กับเด็กที่บ้านไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก กระบวนการครับป๋ายังไม่เริ่ม ส่วนที่เรียกไปวันไหนนั้นตนยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็นหมายเห็นแต่ในข่าวว่าวันที่ 21 มี.ค.67
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผบ.ตร. ให้ใจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ใจ ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนกี่เปอร์เซ็นต์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากการให้ดำริของ ผบ.ตร. ไม่ใช่การมาขอต่อรอง หรือขอความเมตตา เพราะ ผบ.ตร. เห็นถึงความสำคัญภายในองค์กร จึงนำมาสู่การบอกให้ตนเองไปพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องเทใจให้ ผบ.ตร. เกินร้อย เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่ ผบ.ตร. ดำริ และพนักงานสอบสวนทั้งหมดคือลูกเล็กเด็กแดงที่ทำหน้าที่ พร้อมย้ำว่า ”ทุกอย่างเมื่อจบแล้วก็ต้องจบ“ และคนเหล่านี้ก็คือลูกน้องตนเหมือนกัน และต้องไม่คิดเป็นอย่างอื่นเมื่อเดินหน้าแล้ว จะต้องไม่คิดย้อนหลังอีก การทำงานจากนี้เป็นต้นไป จะต้องมีแต่เรื่องงานเพื่อประชาชน เพื่อชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว
ส่วนลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะมีการถอนฟ้องพนักงานสอบสวนที่ทำคดีเว็บพนันมินนี่ด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เดี๋ยว ผบ.ตร. เรียกมาคุยก็จะถอนฟ้องกันหมด เรื่องก็จบแบบลูกผู้ชาย และหลังจากนี้ ใครที่ฟ้องใครก็จะเรียกมาเคลียร์และถอนฟ้องกันให้จบ และให้เรื่องยุติไปเพราะเป็นตำรวจด้วยกันทั้งนั้น
สำหรับกรณี พล.ต.ต.นำเกียรติ แยกฟ้อง ผบ.ตร. นั้น ก็จะต้องถอนฟ้อง เพราะเมื่อคุยกันแล้ว ก็ต้องจบทั้งหมด เราเป็นตำรวจเราต้องมีวินัย เป็นนักเลงต้องชัดเจน ฉะนั้นเมื่อคุยกันจบทุกอย่างก็จบ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเจรจา และการพูดคุย เมื่อเราไม่คุยกันก็ไม่เข้าใจกัน ไปฟังจากที่อื่นมา โดยย้ำว่าวันนี้ทุกคนต้องเป็นลูกน้อง ผบ.ตร. เพียงคนเดียว เมื่อ ผบ.ตร. จบทุกคนต้องหยุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดใจคุยกันหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้เราโทรคุยกันตลอด แต่เนื่องจากงานใน ตร. เยอะ ซึ่งวันนี้เมื่อมีการหารือประชาชนก็จะมั่นใจ และไม่ต้องคิดอะไรเยอะ โดยเชื่อมั่นว่าวันนี้เป็นก้าวแรก ที่จะต้องขับเคลื่อนตามคำสั่งของ ผบ.ตร. และที่สำคัญนักข่าวก็สามารถตรวจสอบได้ว่าจบจริงหรือไม่จริง ซึ่งสิ่งต่างๆ ไม่สามารถปิดบังได้ เมื่อจบวันนี้เราก็ต้องทำงานเพื่อขับเคลื่อนงานกันอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้รัฐบาลเอาผลงานของ ตร. ไปแถลงเป็นนโยบายของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าการแถลงข่าวในวันนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเปิดเส้นเงินใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ได้คุยกับ ผบ.ตร. ตั้งแต่เมื่อเช้า ไม่มีประเด็นไหนเลย มีเพียงประเด็นเดียวคือต้องการให้ความขัดแย้งภายใน ตร. ยุติ เพื่อให้เกิดความสามัคคี และไม่มีความเข้าใจที่เคลือบแคลง และเดินหน้าทำงานให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว
ส่วนจะถอนฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันชัดเจนว่า เมื่อ ผบ.ตร. เรียกมาคุยแล้วทุกคนก็ต้องถอนหมด และเราจะเหลือไว้ให้เกิดความระแวงกันทำไม เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องจบ และขอให้ทุกคนไม่ต้องระแวง โดยมี ผบ.ตร.เป็นหลักประกันอยู่แล้ว
ขณะที่ลูกน้องทั้ง 8 คน ที่ถูกไปประจำที่ ศปก.ตร. ก็จะยังต้องประจำอยู่ที่เดิม และเมื่อไหร่ที่พิจารณาถึงที่สุดเสร็จว่าให้กลับมาก็ว่ากันไป แต่คดีก็ต้องว่ากันไปตามคดี ส่วนเรื่องที่ต้องเดินหน้าก็ต้องเดินหน้า หรือคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. เมื่อชี้แจงได้ เรื่องก็จะจบไปเอง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการแถลงข่าวในวันนี้จะเป็น สตช. การละครหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หัวเราะ พร้อมยืนยันว่าไม่มีอีเว้นท์ เพราะเราต้องจริงใจ เมื่อมานั่งแถลงจะต้องไม่มีอีเว้นท์ เพราะถ้าเป็นอีเว้นท์ หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครเชื่อมั่น ตนเอง และ ผบ.ตร. ในฐานะดูแล สตช. มานั่งแถลงในวันนี้ ลูกน้องก็ดีใจ ฉะนั้นเราต้องทำให้พวกเขาทำงานอย่างสบายใจ
สำหรับกรณีที่ทีมทนาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.ต.นำเกียรติ ออกมาเปิดตัวอักษรย่อนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเห็นว่าไม่ได้ไปเอ่ยชื่อใคร ก็แปลว่าไม่มีตัวตน ส่วนไหนตรวจสอบเป็นคดีก็ว่าไป แต่องค์กรต้องเดอนหน้าในการทำงาน เราพูดเรื่องขององค์กรเป็นหลัก
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ถ้าเอ่ยชื่อมาเต็มๆ ให้ชัดเจน แต่ในทางลับก็สั่งให้ตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นคดี การที่ถามแบบนี้กำลังจะทำให้เป็นประเด็น ทำให้องค์กรแตกแยก และเป็นการด้อยค่าองค์กร พี่น้องประชาชนกำลังรออยู่ พร้อมตั้งคำถามว่า ”พี่รักน้องทุกคน แล้วพวกน้องเคยรักองค์กรพี่ไหม เวลาที่เราจับยา ทำไมไม่มีใครมาถาม แต่กลับถามเรื่องแบบนี้ เพื่อด้อยค่าพวกพี่ พวกน้องไม่รักพี่เลยหรือ“ และขอให้องค์กรนี้เป็นที่เชื่อมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามขอให้มีการแสดงความจริงใจรักใคร่กัน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะในห้องแถลงข่าว ผบ.ตร. ตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องมากอดกัน เพราะเคยบอกกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ความจริงใจ หากขาดจากตนไป หาจากคนอื่นไม่ได้เกินร้อยเท่าตน แม้แต่การเตือนให้ไปปฏิบัติธรรม หรือการลดอีโก้ลง รวมถึงการจะมีหนังสือต่างๆ ตนก็คุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก่อน ไม่เคยคิดจะข้ามหัวข้ามห่างกันเลย ก่อนกล่าวติดตลกว่า ทีหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อย่าเรียกใครมา
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำอีกว่า เวลาเราแสดงสัญลักษณ์เหมือนเราขัดแย้งกัน การมานั่งแถลงพูดคุยกันแบบนี้ เราไม่มาพูดมุสา ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ไม่มีอะไรติดใจ เราอยากให้ข้าราชการตำรวจทุกคนมั่นใจว่า “พี่รักลูกน้อง” และยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกันเลย
ส่วนการรับประทานอาหารร่วมกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ก็มีการรับประทานร่วมกันมาเรื่อยๆ แต่สื่อไม่เห็น ประชุมก็ทานร่วมกัน งานเลี้ยงก็ทาน งานเลี้ยงสื่อ งานแต่งก็เจอกัน
ในช่วงท้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนอยู่ในสังคมตำรวจมา ซึ่งเห็นมาหลายครั้ง ที่นายทะเลาะกันไม่ใช่เพราะนาย แต่เป็นเพราะลูกน้อง ขออย่ามองที่ตัวนาย ขอให้มองภาพรวมขององค์กร สตช. คำว่า ข้าราชการ มาจาก ข้าในพระราชา ในการบำบัดทุกข์บำรงสุข ในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินายตำรวจทุกคนเป็นลูกน้องตน แม้แต่ลูกน้องของพล.ต.อ. สุรเชษฐ จะโดนย้าย ตนก็เป็นคนสั่งไม่ให้ย้าย เพราะไม่ได้มีความผิดอะไร และปกป้องมาตลอด ทุกอย่างต้องยุติ กองเชียร์จะต้องเข้าใจสถานการณ์ หากยังทำตัวแบบนี้ จะเป็นการทำลายองค์กร ทุกอย่างมีกรรม และท่านกำลังทำกรรมสำนักตำรวจแห่งชาติ และเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายต้องหยุด เพื่อองค์กรขับเคลื่อนต่อไปได้
ภายหลังการแถลงข่าว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ได้ลุกขึ้นถ่ายรูปร่วมกัน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้มือโอบเอว ก่อนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่