‘เชนธนา’ แจงทั้งน้ำตา หลังเข้ารับทราบข้อหาฉ้อโกง

‘เชนธนา’ แจงทั้งน้ำตา หลังเข้ารับทราบข้อหาฉ้อโกง ปม ถูกบริษัทดัง แจ้งความ ซื้อสินค้าแล้วไม่จ่ายเงิน 79 ล้าน มอง คดีนี้เป็นเรื่องธุรกิจ ควรเป็นคดีแพ่ง รับ เป็นหนี้ตั้งแต่ปี 64 ลั่น ”ใส่ทั้งชีวิตไว้ในอมาโด้ หากตายก็ตายด้วย“ และจะไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข หากยังใช้หนี้ไม่หมด
วันนี้ (18 พ.ย. 67) เวลา 15:20 น. ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ เชน ธนา พร้อมภรรยา เข้าพบพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดฉ้อโกง กรณีถูกบริษัทชื่อดังแจ้งความเอาผิดกรณีเงินค่าสินค้าผลิตภัณฑ์จำนวน 79 ล้านบาท โดยตำรวจจะมีการนัดหมายอีกครั้งในวันที่ 26 พ.ย. 67
นายธนาตรัยฉัตร เปิดเผยว่าวันนี้ตนเองเดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก กรณีที่ก่อนหน้านี้มีบริษัท ท. แจ้งความดำเนินคดีกับตน และภรรยาในเรื่องการฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท เบื้องต้นตนเองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากสินค้าทั้งหมดยังอยู่ และไม่ได้นำไปขาย ซึ่งเดิมทีคดีนี้ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่า เป็นคดีแพ่งตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 65 ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตนเองเห็นว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจ หากศาลแพ่งมองว่าตนเองเป็นหนี้ก็ยินดีที่จะจ่าย
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาทางอัยการกลับมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีอาญา พนักงานสอบสวนจึงเรียกให้ตนเองมาเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และยอมรับว่าตกใจที่กลายเป็นคดีอาญา ซึ่งหลังจากนี้ ตนเองจะทำตามขั้นตอน และจะนำพยานมาให้การยืนยันสนับสนุนว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกง
นายธนาตรัยฉัตร กล่าวถึงจุดเริ่มต้นเรื่องนี้ ว่าตนเองสั่งสินค้าจากบริษัทผู้เสียหาย ซึ่งสินค้ามีทั้งหมด 2 ล็อต ล็อตแรกขายดีเพียง 7 วันแรก แต่หลังจากนั้นได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า มีปัญหาในเรื่องการขออนุญาตโฆษณา กล่องผลิตภัณฑ์ไม่สามารถนำไปโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ซื้อไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์หรือป้ายบิลบอร์ด ทำให้ต้องเรียกกล่องสินค้าคืนทั้งประเทศ
นอกจากนี้สินค้าไม่ได้ตามที่ตกลงไว้ โดยตอนแรกที่สั่งผลิตภัณฑ์ไป เนื้อผลิตภัณฑ์เป็น สีเหลือง แต่ของที่ได้รับกลับเป็น สีส้ม ซึ่งตนเองไม่ได้มองว่าผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกัน สินค้าทั้งหมดจึงไม่ได้ถูกนำไปขาย และไม่ได้นำเงินมาหมุนแต่อย่างใด สินค้าทุกชิ้นยังคงอยู่ที่โกดังของสำนักงาน โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในระหว่างการแถลงข่าว นายธนาตรัยฉัตร ได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ส่วนหนึ่งที่การขออนุญาตโฆษณามีปัญหา เพราะมีบุคคลหนึ่งได้แนะนำตนเองว่าให้โฆษณาเกินจริงไปเลย แล้วจะจ่ายค่าปรับให้ แต่ความจริงมันทำไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ อย.ได้มีการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ตนเองได้ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทั้งหมดแล้ว พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาตนเองเป็นหนี้มาตั้งแต่ปี 2564 ก็ทำงานหาเงินใช้หนี้มาโดยตลอด รวมถึงบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ตนเองเอาทั้งชีวิตใส่ไปแล้ว หากอมาโด้ตาย ตนเองก็ตายไปด้วย และจะไม่อนุญาตให้ตนเองมีความสุข ถ้ายังใช้หนี้ไม่หมด พร้อมยอมรับว่า เครียด และเรื่องนี้เป็นเรื่องธุรกิจ เป็นคดีแพ่ง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดันกัน และตนเองเป็นลูกหนี้ที่ดี ก็ควรได้รับความยุติธรรม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้เตรียมใจแล้วหรือไม่ว่าคดีนี้จะกลายเป็นคดีอาญา ฐานฉ้อโกง นายธนาตรัยฉัตร กล่าวว่า เชื่อว่าตนเองมีพยานหลักฐานแน่นเพียงพอ มีสัญญาซื้อขาย ส่วนที่เลื่อนหมายเรียกมาหลายครั้ง เพราะตนเองได้รับหมายกะทันหัน รวมทั้งต้องไปขอคัดเอกสารจากทางบริษัท เพราะเป็นคดีนิติบุคคล
ส่วนกรณีที่ถูกแฉว่าตนเองเคยถูกดำเนินคดีฉ้อโกง และ พ.ร.บ.เช็ค นายธนาตรัยฉัตร ชี้แจงว่า ในส่วนคดีฉ้อโกงนั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว แต่ว่ายังอยู่ในระหว่างกระบวนการชั้นอุทธรณ์ของโจทก์ แต่สื่อนำมาเล่นโจมตีเพียงด้านเดียว ส่วน พ.ร.บ.เช็คนั้น ยอมรับว่า ถูกศาลสั่งจำคุกจริง ขณะนี้เป็นการประกันตัวระหว่างสู้คดี