อัจฉริยะ หอบหลักฐานพร้อมรายชื่อพยาน ขอดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำกระบอกบรรจุทรายและโคลน จำนวน 3 กระบอก โดยอ้างว่า เป็นหลักฐานสำคัญที่นักประดาน้ำเก็บได้จากจุดที่ตำรวจแถลงก่อนหน้านี้ว่า เป็นจุดที่ดาราสาว แตงโม-นิดา ตกจากเรือ จุดที่พบร่าง และท่าเทียบเรือทราย พร้อมวัตถุพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ 20 ชุด รวมถึงรายชี่อพยานบุคคลจำนวน 13 ปาก ยื่นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขอให้รับคดีการเสียชีวิตของดาราสาว เป็นคดีพิเศษ โดยมีพันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ โฆษกดีเอสไอ เป็นผู้รับเอกสารและหลักฐานดังกล่าว
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายอัจฉริยะ พร้อมผู้เชี่ยวชาญและทีมนักประดาน้ำ ที่เคยร่วมภารกิจถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ลงพื้นที่บริเวณท่าเรือพิบูลสงคราม 1 เพื่องมหาวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับคดี และพบว่า ที่จุดที่เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นจุดตกเรือและจุดพบร่าง ไม่มีโคลน มีแต่ทราย โดยจุดแรกมีความลึกประมาณ 15-16 เมตร ส่วนจุดที่ 2 ลึกประมาณ 17-19 เมตร นายอัจฉริยะมองว่า ขัดแย้งกับผลนิติเวชที่บอกว่า นางสาวนิดาจมน้ำตื้น มีโคลนในปอด ทำให้เชื่อได้ว่า นางสาวนิดาไม่ได้ตกเรือตรงจุดดังกล่าวอย่างแน่นอน
ส่วนจุดที่ 3 ที่ท่าเทียบเรือทราย ซึ่งเป็นจุดที่นายอัจฉริยะตั้งข้อสงสัย โดยอ้างว่ามีภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่ามีการนำเรือมาจอดแวะที่จุดนี้ ในช่วงเวลาใกล้กับเวลาเกิดเหตุ แต่ตำรวจไม่ได้พูดถึง โดยจากการสำรวจของนักประดาน้ำ พบว่าใต้น้ำบริเวณนี้ มีแต่โคลน ไม่มีทราย มีความลึกประมาณ 7 เมตร สอดคล้องกับผลนิติเวชที่พบโคลนในปอดของนางสาวนิดา จึงสงสัยว่า ดาราสาวน่าจะตกเรือที่ตรงจุดนี้มากกว่า ประกอบกับทรายที่พบว่ากำอยู่ในมือ มีลักษณะเหมือนทรายบนเรือขนทราย ที่จอดตรงจุดดังกล่าว และระดับน้ำก็ไม่ลึกมาก
นายอัจฉริยะ ยังกล่าวว่า ตนมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่พบสปีดโบ๊ท 2 ลำ ร่วมก่อเหตุในคดีนี้ โดยนายอัจฉริยะอ้างว่า เรืออีกลำ น่าจะถูกนำไปขายทอดตลาดแล้ว แต่ยังอยู่ในประเทศ และเชื่อว่า ตำรวจรู้ข้อมูลนี้ดี ก่อนจะย้ำว่า นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน ให้การเท็จอย่างแน่นอน ตนจึงมั่นใจว่า คดีนี้เป็นการฆาตกรรมอำพราง ไม่มีการวางแผน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ส่วนบาดแผลใหญ่ที่ขาขวาด้านใน นายอัจฉริยะเชื่อว่า เกิดจากของมีคมที่ไม่ใช่ใบพัดเรือ โดยหลักฐานทั้งหมด มีทั้งพยานบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ และพยานหลักฐานที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้นำมามอบให้พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบการพิจารณารับคดีนี้แล้ว
ด้าน พันตำรวจตรี วรณัน เปิดเผยว่า เบื้องต้นดีเอสไอจะรวมรวบข้อเท็จจริงและสอบปากคำพยานบุคคลที่มีการอ้างมา แต่จะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ไม่สามารถก้าวล่วงความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษได้