พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จ่อเปิดแพลตฟอร์มศูนย์ค้ามนุษย์ ป้องกันถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ

’ปวีณา‘ พาผู้เสียหายถูกหลอกทำงาน – ค้าประเวณีในต่างประเทศ เข้าพบ รอง ผบ.ตร. ให้การช่วยเหลือ และจับกุมกระทำผิด ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จ่อเปิดแพลตฟอร์มศูนย์ค้ามนุษย์ ให้คำแนะนำตรวจสอบกับประชาชนก่อนตัดสินใจ หวังลดจำนวนคนไทยถูกหลอก
วันนี้ (13 พ.ย. 66) เวลา 09:30 น. ที่สโมสรตำรวจ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาผู้เสียหาย 3 เคส เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.เพื่อขอความช่วยเหลือติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ และผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี
โดยเคสแรก มีผู้เสียหายหญิง 3 ราย ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมา โดยผู้เสียหายเห็นโฆษณาในแอปพลิเคชันติ๊กต็อกชักชวนไปเที่ยวเชียงตุง ในประเทศเมียนมา แล้วเกิดหลงชื่อ เมื่อเดินทางไปกลับถูกกังขัง บังคับค้าประเวณีที่เมืองหนึ่ง ในประเทศเมียนมา ส่วนหญิงผู้เสียหายอีกสองคนที่เป็นเพื่อนกัน ถูกชักชวนให้ไปเที่ยวเชียงตุง เมื่อไปถึงกลับถูกกักขังบังคับให้ค้าประเวณีเช่นกัน ที่เมืองป๊อก
ต่อมา ญาติของทั้ง 3 คน เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 66 โดยนางปวีณาประสานกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตไทยในเมียนมา ตำรวจเมียนมาให้การช่วยเหลือไปเอาตัวได้ ก่อนจะให้รอส่งกลับที่เมืองป๊อก แต่ผู้เสียหายทั้งสามคน รอไม่ไหว หนีออกมาเจอรถรับจ้างจับในป่าเรียกค่าไถ่ 5 ล้านบาท และถูกซ้อมทำร้ายอยู่ 5 วัน
จากนั้นได้หลบหนีออกมาโดยมีครูบนดอยพาไปแจ้งความ แต่กลับถูกตำรวจเมียนมาจับคุมขังนานกว่า 3 เดือน เกี่ยวกับเรื่องไม่มีหนังสือเดินทาง ก่อนจะส่งกลับมาทางด่านแม่สายในจังหวัดเชียงรายในวันที่ 9 พ.ย. 66 โดยมีนางปวีณา ตำรวจ สภ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่ พม. ไปรับโดยมีการสอบปากคำคัดแยกเหยื่อ ก่อนที่นางปวีณาจะรับทั้งสามคนเข้าอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯ
เคสที่ 2 ผู้เสียหาย 25 ราย จากจังหวัดต่างๆ อาทิ หนองคาย บึงกาฬ สมุทรปราการ ชลบุรี ถูกนายหน้าสอง สามีภรรยาหลอกจะพาไปทำงานด้านการเกษตร ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังจ่ายเงินไปล่วงหน้า คนละ 2-3 หมื่นบาท นาน 7 เดือน แต่ยังไม่ได้เดินทางไป และสองสามีภรรยากลับหนีหาย ทำให้ต้องเป็นหนี้สิน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 ล้านบาท จึงร้องต่อมูลนิธิปวีณาเพื่อขอช่วยติดตามตัวสามีภรรยาคู่นี้มาดำเนินคดี
ส่วนเคสที่ 3 มีผู้เสียหายกว่า 10 ราย เจอโฆษณาชักชวนในโซเชียลให้ไปทำงานแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ปอยเปต ในประเทศกัมพูชา อ้างว่าจะมีรายได้เดือนละ 35,000-45,000 บาท โดยก่อนเดินทางไปให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีธนาคาร และจะให้เงินเพิ่มค่าเปิดบัญชีละ 5,000 บาท เมื่อเหยื่อหลงเชื่อเดินทางไปกลับถูกกักขังในห้อง พร้อมยึดพาสสปอร์ต โทรศัพท์มือถือ ซิมโทรศัพท์ และบังคับให้สแกน ใบหน้าแอปพลิเคชั่นธนาคาร ซึ่งมีเงินโอนเข้ามาในบัญชีทุกวัน ประมาณ 15-30 วัน พอบัญชีถูกอายัดก็ถูกส่งตัวกลับไทย โดยถูกข่มขู่ห้ามแจ้งความ มิฉะนั้นจะส่งคนมาฆ่าให้ตาย หลายคนกลับมาถึงกลับเจอหมายเรียกตำรวจ ตกเป็นผู้ต้องหาฉ้อโกงเงินจํานวนมาก บางคนกว่า 1 ล้านบาท
ด้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฝากถึงพี่น้องประชาชนคนไทยว่า การชักชวนไปทำงานผ่านสื่อโซเชียล ในเรื่องการให้ไปทำงาน และมีรายได้จำนวนมากนั้นไม่มีอยู่จริง และขอให้ตรวจสอบก่อน โดยตรวจสอบผ่านสถานีตำรวจใกล้บ้าน พร้อมขอให้ประชาชนอย่างไปหลงเชื่อ ทำงานในประเทศเมียนมาเด็ดขาด โดยเฉพาะพื้นที่เมืองป๊อก เมืองว้า เมืองเล้าก์ก่าย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า จะดำเนินการจับกุมให้ได้ทั้งหมด โดยจะออกหมายจับไปถึงประเทศเมียนมา เพราะตนทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน และมีบูรณาการการทำงานร่วมกับ ผบ.ตร. ของประเทศเพื่อนบ้าน โดยการจับกุมในต่างแดนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งหลังจากนี้ ตนจะไม่ได้ดำเนินการจับกุมเฉพาะคนไทย แต่จะออกหมายจับ และดำเนินการคนเมียนมาอีกด้วย
หลังจากนี้ จะต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และเคลียร์คดีให้กับผู้เสียหายที่ถูกดำเนินคดีด้วย เพื่อให้ความเป็นธรรม และจะเรียกผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์มาช่วยในเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย และเน้นย้ำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปในพื้นที่ประเทศเมียนมา เนื่องจากอยู่ในสภาวะสู้รบ และอาจจะก่อให้เกิดอันตราย
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุอีกว่า ในเร็วๆ นี้ ตนจะเปิดแพลตฟอร์มของศูนย์ค้ามนุษย์ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลป้องกันการถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศ โดยจะพูดคุยกับ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้พัฒนา Traffy Fondue เกี่ยวกับการทำศูนย์รับเรื่องเพื่อป้องกันการถูกหลอกไปทำงานในต่างประเทศ และจะนำตัวเลขไปเทียบสถิติก่อน และหลังเปิดแพลตฟอร์มว่าตัวเลขของการถูกหลอกจะลดลงหรือไม่