ผบ.ตร. ยืนยัน คดีแตงโม ไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ

ผบ.ตร. ยืนยัน คดีแตงโม ไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ มั่นใจ ตอบข้อสงสัยของสังคมได้

พลตํารวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวยืนยันว่า การสืบสวนสอบสวน คดีการเสียชีวิตของนางสาวนิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ไม่มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ แม้นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จะมีการกล่าวอ้างว่า มีความพยายามสร้างพยานหลักฐานเท็จในคดีนี้ก็ตาม

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังกล่าวถึงประเด็นที่นายอัจฉริยะตั้งข้อสังเกต ว่า ได้มอบหมายให้จเรตำรวจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมในทุกประเด็นแล้ว โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับร่องรอยบาดแผลที่พบบนร่างผู้เสียชีวิต ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ แต่อาจเกิดจากของมีคมอื่น ซึ่งประเด็นนี้ พนักงานสอบสวนยืนยันว่า พยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุ ไม่พบมีดหรือของคม ที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ย้ำว่า ตำรวจได้สอบสวนในรูปแบบคณะกรรมการสอบสวนชุดใหญ่ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง แต่กระบวนการสอบสวน คงไม่สามารถนำพยานหลักฐานต่างๆมาถกเถียงกันในสื่อสังคมออนไลน์ได้ ซึ่งหากคดีนี้มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ช่วงที่นางสาวนิดาตกเรือ การสอบสวนคงง่ายขึ้น แต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานในส่วนนี้ ตำรวจจำเป็นต้องหาข้อมูลพยานหลักฐานอื่นมาประกอบ เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคมให้ได้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันอีกครั้งว่า การสอบสวนไม่ได้ตั้งธงคดี ทำไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ และคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้ให้ได้เท่านั้น เชื่อว่าเมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล จะมีการนำพยานหลักฐานไปต่อสู้คดีกัน และเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว คดีจะคลี่คลาย ตอบข้อสงสัยทั้งหมดของสังคมได้

ส่วนประเด็นที่นายอัจฉริยะกล่าวอ้างว่า มีนายพลตำรวจ อักษรย่อ “ว.” ซึ่งรับผิดชอบในคดีนี้ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตํารวจเอก สุวัฒน์กล่าวว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีอยู่ทั่วประเทศรวมกว่า 200,000 นาย ทั้งนี้ หากมีการนำเสนอข้อมูลพาดพิงให้การทำงานของตำรวจเสื่อมเสีย ตำรวจก็มีความจำเป็นต้องพิจารณาใช้กฎหมายที่มีอยู่ ดำเนินคดีเพื่อปกป้องการทำงาน โดยให้แต่ละหน่วยงาน พิจารณาตามความเหมาะสม เพราะหากตำรวจนิ่งเฉย ไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ก็เท่ากับยอมรับว่า ข้อกล่าวหานั้นเป็นความจริง